วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การศึกษาปัญหาของผักตบชวา


รายงานการวิจัย
เรื่อง การศึกษาปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3
โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
โดย
1.        นายณัฐกิตติ์  ปรั่งกลาง                      เลขที่ 1
2.        นางสาวณัฐกาจญ์  เกาะโพธิ์              เลขที่ 26
3.        นาวสาวอัพวัน อ่อนแต้ม                   เลขที่ 27
4.        นางสาวปิยะพร  ทองน้อย                 เลขที่ 28
5.        นางสาวจุธาทิพย์  สุคันธิน                 เลขที่ 29
6.        นางสาวพัชราภรณ์  พิมพาภรณ์        เลขที่ 35
7.        นางสาวสุภาภรณ์ ศรีธนานุสรณ์      เลขที่ 42
8.        นางสาวสุภาวิลัย สอนบาล              เลขที่ 44
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3

ปีการศึกษา 2556

โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม




คำนำ
 เนื่องจากในปัจจุบันนี้ผักตบชวาขยายและแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมากทำให้แม่น้ำลำคลองในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยนั้นมีผักตบชวาจำนวนมาก มีผลกระทบอย่างมากกับผู้ที่สัญจรทางเรือ หรือ ผู้คนที่ใช้แม่น้ำลำคลองในการดำรงชีวิตในวิถีชีวิตประจำวัน ตลอดจนถึงความสวยงามตามแม่น้ำตามลำคลองในท้องถิ่นต่างๆ เนื่องจากแม่น้ำลำคลองเป็นแม่น้ำที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญและใช้การดำรงชีวิตในแต่ละวันตามแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยแม่น้ำลำคลองจึงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญแก่ชาวบ้านในแถบราบลุ่มแม่น้ำ หรือผู้คนที่ต้องอาศัยแม่น้ำลำคลองในการประกอบอาชีพและการใช้ชีวิตประจำวัน ทางผู้ศึกษาจึงเล็งเห็นได้ว่าการที่มีผักตบชวาเป็นจำนวนวนมากในแม่น้ำลำคลองนั้นเป็นปัญหาที่ควรต้องได้รับการแก้ไข ให้ผักตบชวานั้นมีจำนวนที่น้อยลง ทางผู้ศึกษาเล็งเห็นปัญหาเหล่านี้ จึงได้ทำการศึกษาสำเร็จความคิดเห็นของปัญหาผักตับชวาในแม่น้ำลำคลอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับปัญหามีผักชวาเป็นจำนวนมากในแม่น้ำหรือบริเวณลำคลองต่างๆ เพื่อนำผลการศึกษามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว อันจะเกิดผลดีแก่ประชาชนคนทั่วไปที่อย่างอยู่บริเวณแม่น้ำและลำคลองต่างๆ และทำให้การดำดงชีวิตของผู้คนที่อยู่บริเวณลำคลองดีมากยิ่งขึ้น 

 จัดทำโดย 
 คณะผู้จัดทำ


บทคัดย่อ
เนื่องจากในปัจจุบันมีประชากรที่อาศัยอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ลำคลอง เป็นจำนวนมาก  และต้องมีการเดินโดยทางน้ำ  ดังนั้นผักตบชวาที่มีอยู่อย่างหนาแน่น  จึงทำให้เกิดปัญหาการสัญจรทางน้ำ  และยังมีปัญหาอื่นๆอีกมากต่อประชากรที่อาศัยอยู่บริเวณที่มีผักตบชวา  ดังนั้น คณะผู้จัดทำจึงได้จัดทำแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาของผักตบชวาในแม้น้ำ  ลำคลอง  โดยสอบถามจากกลุ่มประชากรตัวอย่าง  ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  ห้อง 3  โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม  เพื่อให้รู้ถึงปัญหา  และผลกระทบที่ได้รับจากผักตบชวา เมื่อคณะผู้จัดทำได้ทำการสอบถามกลุ่มประชากรตัวอย่างเกี่ยวกับปัญหาของผักตบชวาเรียบร้อยแล้ว  จึงสรุปได้ว่าประชากรส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผักตบชวา


บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
                                ในปัจจุบันพบปัญหาที่เกิดจากมีปริมาณผักตบชวาที่มีจำนวนมากตามแม่น้ำลำคลอง จนกลายเป็นปัญหาหนึ่งของระบบนิเวศ จึงนำปัญหานี้มาศึกษาเพื่อเก็บข้อมูลและช่วยในการแก้ไขปัญหานี้ ดังนี้
                   1.             ความสำคัญและที่มาของปัญหา
                    2.             วัตถุประสงค์ของการศึกษา
               3.             สมมติฐานของการศึกษา
           4.             ขอบเขตของการศึกษา
   5.             นิยามศัพท์เฉพาะ
                    6.             ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ


1.               ความสำคัญและที่มาของปัญหา
ในปัจจุบันปัญหาใหญ่ที่พบในแม่น้ำลำคลองคือ ผักตบชวา เพราะผักตับชวาเป็นพืชที่ทนทานสภาพแวดล้อมและมีการขยายพันธ์ได้รวดเร็วจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ การคมนาคมทางนํ้า  และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำลำคลอง ดั้งเราจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างมีระบบดังที่ ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ นักวิชาการเกษตร 6 กล่าวถึงการเจริญเติบโตของผักตบชวา ว่าผักตบชวาเป็นพืชที่มีอัตราการเจริญเติมโตสูงทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นพืชที่มีทุ่นลอยสารมารถอยู่ได้ทั้งในน้ำนิ่งและน้ำไหล ผักตบชวามีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วทั้งทางเมล็ดและการแตกหน่อ ดังนั้นจึงทำให้ผักตบชวามีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงก่อให้เกิดปัญหาต่อแห่ลงน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศ และก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผักตบชวา มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก มีการสะสมมวลชีวภาพได้สูงถึง 20 กรัม น้ำหนักแห้งต่อตารางเมตรต่อวัน โดยมีอัตราการเจริญเติบโตสัมพันธุ์สูงสุดเท่ากับ 1.5% ต่อวัน ถ้าปล่อยให้ผักตบชวาเติบโตในแหล่งน้ำโดยเริ่มต้นจาก 500กรัมน้ำหนักสดต่อตารางเมตร ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง ผักตบชวาสามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ให้มวลชีวภาพสูงถึง40,580 กรัมน้ำหนักสดต่อตารางเมตร ในระยะเวลา 1 ปี ผักตบชวาจะเจริญเติบโตสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนเมษายนและมีการเจริญเติบโตต่ำสุดในช่วงเดือนมกราคมผักตบชวา 1 ต้น สามารถให้เมล็ดได้ถึง 5,000เมล็ด เมล็ดผักตบชวาเมื่ออยู่ในแหล่งน้ำจะมีชีวิได้นานถึง 15 ปี ผักตบชวาสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการแตกหน่อ ผักตบชวา 2 ต้น สามารถแตกใบและเจริญเติบโตเป็นต้นได้ถึง 30 ต้น ภายในเวลา 20 วัน หรือเพิ่มน้ำหนักขึ้น 1 เท่าตัว ภายใน 10 วัน สามารถขยายตัวครอบคลุมผิวน้ำได้อัตราร้อยละ 8 ต่อวัน ถ้าเริ่มปล่อยผักตบชวาในแหล่งน้ำเพียง 10 ต้นจะสามารถแพร่กระจายเพิ่มปริมาณเป็น 1 ล้านต้น ภายในระยะเวลา 1 ปี
สายฝน ละเลิศ 52020297 สุพัชรา แสนเรือง 52020506 คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ ปี 2 มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน จังหวัดชลบุรี ได้กล่าวผลกระทบจากผักตบชวากล่าวไว้ว่า ลดการไหลของน้ำลงประมาณ 40% ส่วนต่างๆ ของผักตบชวาที่จมลงใต้น้ำก่อให้เกิดอุปสรรคกับการระบายน้ำของฝาย ประตูระบาย และอื่นๆ ทำให้   ทางเดินของน้ำเกิดการตื้นเขินเร็วกว่าปกติ และทำให้เกิดน้ำท่วมในหน้าน้ำ แย่งเนื้อที่การเก็บกักน้ำของอ่างเก็บน้ำ ทำให้เก็บรักษาน้ำได้น้อยลง แย่งน้ำและอาหารจากพืชปลูก ซึ่งควรจะได้รับมากขึ้นจากการชลประทานหากไม่มีผักตบชวาอยู่ในแหล่งน้ำ  ผักตบชวาที่ขึ้นหนาแน่นเป็นอุปสรรคแก่การเจริญเติบโตของปลาและการจับปลาผักตบชวาไม่เพียงแต่ลดผลผลิตของปลาเท่านั้น แต่ปลาที่จับได้ยังมีขนาดเล็กลงด้วย พื้นน้ำที่มีผักตบชวาขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและน้ำไม่มีการไหล จะมีปลาหรือสัตว์น้ำอาศัยอยู่น้อยกว่าปกติ
เมื่อขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ผักตบชวาเป็นตัวการทำให้การกำจัดหอย (ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการนำโรค) โดยการใช้ยากำจัดเป็นไปได้โดยยากและสิ้นเปลืองมาก เนื่องจากผักตบชวาจะดูดยาไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือมีน้อยจนไม่สามารถจะทำอันตรายกับหอยได้ นอกจากนั้น ผักตบชวายังเป็นตัวกันไม่ให้ยาถูกพ่นลงในน้ำได้สะดวก ดังนั้น การใช้ยาในการกำจัดหอยจึงต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่คนและสัตว์อื่นๆ  เป็นที่อาศัยสัตว์ร้าย เช่น งูพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อราษฎร เมื่อแพผักตบชวาลอยไปติดเรือนแพ หรือท่าน้ำ หรือในการพัฒนาแหล่งน้ำโดยการใช้แรกงานดึงขึ้นจากน้ำ นอกจากนั้น หนูที่อาศัยอยู่บนแพผักตบชวา ก็อาจแพร่เชื้อโรคกาฬโรคได้ ผักตบชวาเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางการสัญจรทางน้ำในแม่น้ำเป็นไปด้วยความลำบาก

การเริ่มแพร่กระจายของผักตบชวาเริ่มมาจาก การนำเข้ามาในประเทศนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย เนื่องจากผักตบชวาเป็นพืชที่มีลักษณะทรงพุ่มและใบสวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีลักษณะดอกและช่อดอกที่สวยงามมาก คือมีกลีบที่มีลวดลายสวยงาม มีสีฟ้า เป็นช่อตั้ง ดังนั้น จึงทำให้ผู้ที่พบเห็นได้นำไปปลูกตามที่ต่างๆ ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ชวา หรือประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน และต่อมาจึงได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ ในประเทศไทย ได้มีผู้นำเข้ามาตั้งแต่ปี 2444 และได้แพร่ออกไปได้รวดเร็วมากจนกระทั่งทางการต้องตราพระราชบัญญัติเป็นพืชต้องห้ามที่ต้องพยายามจำกัดหรือทำลาย เมื่อปี 2456 และมาถึงปัจจุบัน  ผศ.ดร. สุรชัย มัฉฉาชีพ  กล่าวมีการกล่าวถึงสาเหตุของการระบาดของผักตบชวาในประเทศไทยจากกลุ่มคน แต่ละกลุ่มโดย จิรากรณ์ คชเสนี
กลุ่มองค์กรที่มีหน้าที่ในการกําจัดผักตบชวา คนงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในโครงการ หากไม่มีความเข้าใจวิธีการกำจัดผักตบชวาที่ถูกต้อง ถายเทผักตบชวาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และเมื่อกําจัดตามระบบงบประมาณที่ได้รับไปแล้วแต่ไม่สามารถกำหนดมาตรการในการจำกัดการแพร่กระจายได้ ทุกปีก็ต้องจัดสรรงบประมาณมากำจัด
กลุ่มผู้เลี้ยงหมู นอกจากจะเป็นผู้แพร่พันธุ์ผักตบชวาไปทุกหนทุกแห่งแล้ว สวนใหญ่ยังเป็นนักอนุรักษ์ผักตบชวาตัวฉกาจ ซํ้าร้ายบางคนถึงกับลงมือนำผักตบชวาไปปลูกในที่ตางๆ เพื่อที่ตนจะได้ไปเก็บมาเลี้ยงหมูได้ทันที จากเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้ผักตบชวามีโอกาสแพร่ไป เกือบทั่วประเทศ และยิ่งถ้าเป็นพื้นที่เป็นต้นนํ้าลำธารด้วยแล้ว การแพร่กระจายก็ยิ่งเกิดได้ดมากขึ้น เพราะธรรมชาติจะช่วยพาไปด้วย
กลุ่มนักพัฒนาแหล่งนํ้า ในระยะหลังนี้ ประเทศไทยได้มีการเร่งพัฒนาไปทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะแหล่งนํ้าเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงาน ได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางทั่วทุกภาค ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดอ่างเก็บนํ้าและทะเลสาบต่าง ๆ มากมาย แหล่งนํ้าเหล่านี้ที่เกิดจากการนำเครื่องจักร เข้ามาทำการก่อสร้างมีการขนย้ายดินขุดและดินถม ได้ชวยให้ผักตบชวามีสถานที่ ที่จะเพาะและขยายพันธุ์ตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผักตบชวาจำนวนมาก ๆ นี้ ได้กอให้เกิดปัญหาแก่แหล่งนํ้านั้น ๆ เป็นอเนกประการ และยิ่งกว่านั้น เมื่อหลุดออกจากแหล่งนํ้าดังกล่าวนี้ได้ ก็จะไปก่อให้เกิดปัญหาในที่ตาง ๆ อย่างกว้างขวางต่อไปผักตบชวาลงไปสู่แม่นํ้าลำคลองก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และถูกนํ้าพัดไปยังพื้นที่ตางๆ ทางตอนปลายนํ้า

จากนี้มีการกล่าวถึงการป้องกันการแพร่ของผักตบชวาโดย   กลุ่มงานวิทยาศาสตร์การวัชพืช กองพฤกษศาสตร์และวัชพืชกรมวิชาการการเกษตร ได้กล่าวถึงการป้องกันผักตบชวาว่า              เนื่องจากพระราชบัญญัติสำหรับกำจัดผักตบชวา พ.ศ. 2456 ยังมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน ฉะนั้น เราจึงควรจะช่วยกันป้องกันมิให้มีการแพร่กระจายของผักตบชวาได้อีกต่อๆ ไป จากที่ได้กล่าวแล้ว ผลเสียของผักตบชวานั้น มีมากมาย และได้ก่อให้เกิดปัญหาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาถึง 60 กว่าปีแล้ว ดังนั้น ทุกคนจึงควรที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป โดยการใช้วิธีการกำจัดวิธีต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้ว แต่ละท้องที่อาจเลือกใช้วิธีการกำจัดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์และความเหมาะสมของในแต่ละท้องที่หลังจากที่ได้ทำการกำจัดแล้ว ก็ควรจะช่วยกันป้องกันมิให้เกิดการแพร่กระจายหรือระบาดของผักตบชวาให้เกิดขึ้นได้อีก ซึ่งสามารถทำไดดังนี้
(1) หมั่นลอกคูคลอง หรือท้องร่วงให้น้ำไหลผ่านได้สะดวก เพราะผักตบชวาจะเติบโตได้ยากในที่ที่มีน้ำไหลแรง
(2) หมั่นตรวจดูแหล่งน้ำใกล้ๆ บ้านอยู่เสมอ หากพบผักตบชวา ก็ให้ดึงขึ้นจากน้ำและทำลายเสีย โดยการตากแห้งและเผา อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือเขี่ยทิ้งไห้ลอยไปที่อื่นอีกการปฏิบัติเช่นนี้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็น ปัดสวะ
(3) หากพบเห็นผู้ใดปลูกหรือกักผักตบชวาเอาไว้ใช้ประโยชน์ ก็ควรแนะนำให้รู้ถึงโทษของผักตบชวา และชักชวนให้ช่วยกันทำลายให้หมดสิ้น
(4) หากพบว่ามีแหล่งเพาะขยายพันธุ์ผักตบชวาเกิดขึ้น และเกินกำลังที่จะกำจัดเองได้หมด ก็ให้แจ้งผู้นำชุมชนและช่วยกันกำจัดให้หมดสิ้น
ตามที่ได้กล่าวแล้วทั้ง 4 ข้อ คือ การปฏิบัติตนตามพระราชบัญญัติสำหรับกำจัดผักตบชวาซึ่งปัจจุบันยังมีผลบังคับใช้อยู่ และหากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้ ดังนั้น ทุกคนจึงควรจะช่วยกันดูแลและตักเตือนผู้ที่ละเมิดพระราชบัญญัตินี้ ให้รู้ถึงโทษและความผิดที่จะได้รับ ก็จะเป็นการช่วยชาติและช่วยตัวเองอย่างมาก


ยังมีการคิดค้น เรือกำจัดผักตบชวา (Water Hyacinth Harvester) โดย รศ.ดร.จำรูญ ตันติพิศาลกุล รศ.ดร.เดช พุทธเจริญทอง รศ.สุชัย ศศิวิมลพันธุ์  รศ.สุนันท์ ศรัณยนิตย์
ผศ.สมยศ จันเกษม เรือกำจัดผักตบชวานี้ได้นำไปทดลองใช้ในหลายๆพื้นที่ พบว่าสามารถกำจัดวัชพืชต่างๆ ได้ดีและเสียค่าใช้จ่ายในการทำงานที่ต่ำกว่าการกำจัดวัชพืชโดยวิธีอื่น เช่น
จากการร่วมพัฒนาคลองรางขมิ้นและคลองรางตรง แขวงทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ ซึ่งเต็มไปด้วยแพผักตบชวามีพื้นที่ผิวน้ำพอจะให้เรือหางยาวค่อยๆ ผ่านไปได้โดยต้องใช้พายช่วยแจวแหวกผ่านไป ช่วยขยายผิวน้ำสัญจรได้กว้าง 15-20 เมตร รวมเวลา 3 วันทำการ ใช้เวลา 15 ชั่วโมง กำจัดวัชพืชได้ 130 ตัน
จากการพัฒนาบึงขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมเวลา 130 วันทำการ ใช้เวลา 1,040 ชั่วโมง สามารถกำจัดสาหร่ายทะเลและวัชพืชน้ำได้ 4,888 ตัน คิดเป็นพื้นที่ 32.6 ไร่
จากการกำจัดจอกหูหนู ณ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนแม่จางของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมเวลา 51 วันทำการ ใช้เวลา 199 ชั่วโมง 55 นาที สามารถกำจัดจอกหูหนูได้ 7,600 ลูกบาศก์เมตร โดยมีต้นทุนดำเนินการเฉลี่ยลูกบาศก์เมตรละ 16.98 บาท ในขณะที่การกำจัดจอกหูหนูโดยใช้ถุงอวนลากแล้วใช้รถเครนยกขึ้นจากน้ำ เสียค่าใช้จ่ายลูกบาศก์เมตรละ 249.95 บาท เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการใช้ถุงอวนลากจะเท่ากับ 1: 14.72 ซึ่ง นับว่าเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก
จากการไปกำจัดผักตบชวาที่โรงงานน้ำตาลราชบุรี รวมเวลาทั้งหมด 35 วันทำการ ใช้เวลา 245 ชั่วโมง สามารถกำจัดผักตบชวาและจอกผักกาดได้เป็นพื้นที่ทั้งหมด 40,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นน้ำหนัก 4,000 ตัน หรือสามารถกำจัดได้ 16.3 ตันต่อชั่วโมง โดยเสียค่าใช้จ่ายในการทำงานประมาณตันละ 10 บาท
ช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศ จากการมอบสิทธิการสร้างเรือกำจัดผักตบชวาให้กับบริษัท ซูเทค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันกับต่างประเทศ ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐสามารถจัดซื้อเรือได้ในราคาที่ไม่สูงเกินไป


ในปี พ.ศ. 2535 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ได้ผลิตกำจัดผักตบชวาเพื่อน้อมเกล้าถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ และต่อมา ได้ทรงพระราชทานให้กรุงเทพมหานครนำไปใช้งาน
นอกจากมีการกำจัดแบบใช้ เรือกำจัดผักตบชวา แล้วยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น คือการใช้สารเคมีในการกำจัดอาจจะก่อให้เกิดอันตรายให้แก่ชาวบ้านบริเวณริมแม่น้ำลำคลองได้จึงทำให้การกำจัดเป็นไปได้ยากมากขึ้น
การกำจัดผักตบชวาด้วยสารเคมีกำจัดวัชพืช (ซึ่งเรียกว่า ยาฆ่าหญ้า หรือ Herbicide) เป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการกำจัดแบบอื่น แต่การใช้สารเคมีช่วยกำจัดวัชพืชน้ำอย่างผักตบชวานั้น ถ้าผู้ใช้ไม่มีความรู้ในระดับพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องราวทางวิทยาการวัชพืชและนิเวศวิทยาแล้ว อาจทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสภาพแวดล้อมได้โดยง่าย ดังนั้น การอบรมให้ความรู้แก่ผู้มีหน้าที่กำจัดผักตบชวาโดยวิธีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชจึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการกำจัดผักตบชวาด้วยสารเคมีชนิดของสารเคมีกำจัดวัชพืช ที่นิยมให้เพื่อกำจัดผักตบชวา และอัตราการใช้ที่เหมาะสม มีดังต่อไปนี้
ก. ประเภทคลอโรฟีนอคซี (Chlorophenoxy) สารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทคลอโรฟีนอคซีนี้ มีคุณสมบัติพิเศษกว่าสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทอื่นตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของพืชได้ จึงทำให้สามารถออกฤทธิ์กำจัดผักตบชวาได้ดีและมีประสิทธิภาพสูง ประกอบกับผักตบชวามีลักษณะการเจริญเติบโตแบบเดียวกับพืชที่มีอายุหลายปี กล่าวคือ มีการเจริญเติบโตทางส่วนของลำต้นที่สามารถผลิตเหง่าเพื่อขยายพันธุ์ได้มากมาย ซึ่งสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติในการเคลื่อนตัวไปตามส่วนต่างๆ ของผักตบชวาได้ จะไม่สามารถออกฤทธิ์กำจัดผักตบชวานี้ได้สมบูรณ์ หรือได้ผลเป็นที่น่าพอไจเท่าสารเคมีประเภทฟีนอคซี
สารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทคลอโรฟีนอคซี เป็นสารเคมีที่มีจำหน่วยแพร่หลายที่ไปในท้องตลาด ชนิดที่สำคัญๆ มีอยู่ 3 ชนิด คือ
(1) ทู โฟ-ดี (2, 4-D : 2, 4-dichlorophenoxy acetic acid)
(2) เอมซีพีเอ (MCPA : 2-methyle-4-chlorophenoxy acetic acid)
(3) ทู โฟ โฟว์-ที (2, 4, 5-T : 2, 4, 5-trichlorophenoxy acetic acid)
ทู โฟ-ดี และเอมซีพีเอ นั้น มีจำหน่ายใจรูปของเกลือโซเดียม โปแตสเซียม อมีน หรือเอสเทอร์เป็นส่วนใหญ่ ส่วน ทู โฟ ไฟว์-ที นั้น ส่วนมากอยู่ในรูปของสารละลายเข้มข้น (emulsifiable concentrate)
ข. ประเภทกลัยโฟเสต (Glyphosate:N-(phosphonomethyl giycine)
สารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดนี้เป็นสารเคมีชนิดใหม่ล่าสุดที่มีคุณสมบัติและมีแนวโน้มที่สามารถนำมากำจัดผักตบชวาได้เมือน ทู โฟ- ดี ทั้งนี้เนื่องจากสารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดนี้มีคุณสมบัติที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของพืชได้เช่นเดียวกับ ทู โฟ-ดี นั่นเอง เนื่องจากสารเคมีประเภทนี้ไม่มีฤทธิ์ตกค้างแต่อย่างใด จึงทำให้การใช้ปลอดภัยมากกว่า ทู โฟ-ดี
อัตราที่นิยมใช้อยู่ระหว่าง 0.18-0.36 กก. ของสารออกฤทธิ์ (ai)/ไร่ เนื่องจากสารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดนี้เป็นสารใหม่ จึงมีราคาสูงกว่า ทู โฟ-ดี
ค. ประเภทไบไพริดิล (Bipyridyl)
สารเคมีกำขัดวัชพืชประเภทไบไพริดิล เป็นสารเคมีที่ทำลายผักชวาได้เช่นเดียวกับทู โฟ-ดี สารนี้จะเข้าสู่วัชพืชอย่างรวดเร็ว จากนั้นปฏิกิริยาในการทำลายวัชพืชจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และผักตบชวาจะถูกฆ่าตามภายใน 2-3 วัน ปฏิกิริยาจะสินสุดลงในระยะเวลาอันสั้น และจะไม่พบผลตกค้างหลังจากการใช้ยาแล้ว 10 วัน อีกทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่ในแหล่งน้ำนั้น
สารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทไบไพริดิล มีจำหน่ายในประเทศไทยนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
(1) ไดควอต (diquat)
(2) พาราควอต (paraquat)
สำหรับพาราควอตนั้นเป็นยากำจัดวัชพืช ที่มีราคาถูกและใช้กันแพร่หลายในการกำจัดวัชพืชทั่วไป
ชนิดที่ 2 มีราคาถูกและใช้สำหรับกำจัดวัชพืชทั่วไป พาราควอตสามารถใช้กำจัดผักตบชวาได้ดี อาจใช้ผสมกับ ทู โฟ-ดี สำหรับอัตราใช้ของสารเคมีชนิดนี้คือ 400 ซีซี. ของผลิตภัณฑ์ (ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ 20%) ผสมน้ำ 80 ลิตร ใช้ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่

ถ้าหากต้องการให้การกำจัดได้ผลดีขึ้น ก็อาจใช้ ทู โฟ-ดี (เกลือโซเดียม) อัตรา 200 กรัมของผลิตภัณฑ์ผสมเข้าด้วยกันกับพาราควอตในอัตราดังกล่าว
ในการพ่นสารเคมีกำจัดผักตบชวานั้น เครื่องมือที่ใช้ ตลอดจนหลักการในการคำนวณปริมาณสารเคมี ก็เป็นเช่นเดียวกับการพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชบนพื้นดินนั่นเอง กล่าวคือ ยังยึดหลักชองการคำนวณสารเคมีที่จะใช้ต่อหน่วยพื้นที่ที่ต้องการฉีดเป็นหลักนั่นเอง
ธศ.ดร. พรชัย เหลืองอาภามงค์ กล่าวไว้ผักตบชวานั้นไม่ได้มีข้อเสียแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังมีวิธีการแปรรูปผักตบชวาโดย ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และเป็นหนึ่งในทีมวิจัยบอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ว่าอุทกภัยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เห็นปัญหาว่าผักตบชวานั้นเป็นสาเหตุในการขวางทางน้ำไหล จึงคิดหาวิธีกำจัด กอปรกับได้ทำงานวิจัยแปรรูปชีวมวลด้วยตัวเร่งปฏิกิริยามาได้ 2-3 ปีแล้ว และผักตบชวาก็จัดเป็นชีวมวลอย่างหนึ่ง จึงประยุกต์งานวิจัยดังกล่าวมาแก้ปัญหานี้ทั้งนี้ ทีมวิจัยมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อแปรรูปสารต่างๆ อยู่แล้ว จึงนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาแปรรูปผักตบชวาโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีขนาดอนุภาคเล็กระดับนาโนเมตร ซึ่งจากการวิจัยสามารถแปรรูปผักตบชวาไปเป็นสารเคมีพื้นฐานต่างๆ และเนื่องจากผักตบชวาเป็นชีวมวลจึงเซลลูโลสเป็นมีส่วนประกอบ และยังมีลิกนินเป็นส่วนประกอบอยู่เล็กน้อยเมื่อนำผักตบชวาเข้าเตาปฏิกรณ์และตัวเร่งปฏิกิริยาก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็นสารต่างๆ ตามตัวแปรที่กำหนด เช่น น้ำตาล ฟิวแรนซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชนิดหนึ่ง กรดแลคติก และกรดฮิวมิค เป็นต้น ซึ่งสารเคมีที่ได้ก็จะนำไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน เช่น กรดแลคติกสามารถนำไปผลิตเป็นสารตั้งต้นของพลาสติกชีวภาพ หรือกรดฮิวมิคซึ่งมีลักษณะคล้ายดิน สามารถนำไปทดแทนวัสดุปรับปรุงดิน ที่ปกติต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง และอัลเคนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่คล้ายเบนซินและดีเซล เป็นต้นในเบื้องต้น ดร.ขจรศักดิ์กล่าวว่า ทางทีมวิจัยจะมุ่งไปที่การพัฒนาวัสดุปรับปรุงดินก่อน เพราะเป็นวัสดุที่ควบคุมการผลิตได้ไม่ยาก สามารถนำไปใช้ได้เลย โดยมีต้นทุนต่ำกว่าวัสดุนำเข้า 2-10 เท่า และจะต่อยอดงานวิจัยด้วยการปรับสูตรการผลิตให้ดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยในเรื่องอุณหภูมิ ตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวแปรอื่นๆ นั้นให้ผลิตภัณฑ์เป็นสารเคมีที่แตกต่างกัน จึงต้องวิจัยเพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าวิธีใดให้ผลิตภัณฑ์ใดออกมา และจะปรับปรุงเตาปฏิกรณ์ให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องหัวใจสำคัญของงานวิจัยนี้คือตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งทำได้ยากเพราะต้องอาศัยประสบการณ์และการทดสอบจนได้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม โดยตัวเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนจะช่วยให้ผลิตได้มากและเร็วขึ้น และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือระบบเตาปฏิกรณ์ที่ต้องออกแบบให้ทำงานในสภาวะที่เหมาะสม แม่นยำและทำงานได้ต่อเนื่อง เพราะมีผักตบชวาให้ต้องกำจัดมากหลายแสนตันดร.ขจรศักดิ์กล่าวเนื่องจากการแปรรูปผักตบชวาด้วยตัวเร่งปฏิกิริยานี้ให้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และน้ำตาลก็เป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ซึ่ง ดร.ขจรศักดิ์ กล่าวว่า หากทำสำเร็จก็จะเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลตัวใหม่ แต่การจะผลิตให้ได้น้ำตาลบริสุทธิ์และบริโภคได้นั้นยังต้องวิจัยกันอีกยาวไกล แต่ประเด็นสำคัญของงานวิจัยนี้คือแค่กำจัดผักตบชวาได้ก็ประสบความสำเร็จแล้วสำหรับทีมวิจัยนอกจาก ดร.ขจรศักดิ์แล้ว ยังมีนักวิจัยหลักๆ ดังนี้ ดร.นาวิน วิริยะเอี่ยมพิกุล ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เข็มทอง และ ดร.สุธารวดี มัญยานนท์ จากนาโนเทค โดยมีความร่วมมือกับ รศ.ดร.นวดล เหล่าศิริพจน์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และ ผศ.ดร.ลพ ภวภูตานนท์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับทุนหลักในการทำวิจัยจากนาโนเทค และทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโทเรเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ทรงพล โต้ชารี  ได้นำไปทำปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวา ผักตบชวาอาจจะส่งผลกระทบในหลายด้านเช่น กีดขวางการจราจรทางน้ำ ทำให้น้ำระเหยเพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่ที่ไม่มีผักตบชวาปกคลุม บดบังแสงแดดที่จะส่องลงสู่พื้นน้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของศัตรูพืชและการตายทับถมของผักตบชวาทำให้เกิดการตื้นเขินของแม่น้ำ ลำคลอง เป็นต้น แต่ถ้าเรานำผักตบชวามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วผักตบชวาก็มีประโยชน์หลายอย่างเช่น ใช้เป็นอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรม การทำปุ๋ยอินทรีย์ และการทำก๊าซชีวภาพ เป็นต้น ผักตบชวามีปริมาณน้ำเป็นส่วนประกอบสูง โดยส่วนที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดคือ ไหล(stolons) 96.7 % เหง้า  95.1 % ทุ่นลอย 93.9 % และใบ 89.3 %3 จึงเหมาะที่จะทำปุ๋ยน้ำหมัก
การนำผักตบชวามาทำปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวา เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณผักตบชวาได้หลายตันต่อปีและยังได้ปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวาไว้ใช้ประโยชน์เช่น ใช้ฟื้นฟูคุณภาพน้ำใช้บำรุงดินให้มีสภาพดีขึ้น ใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชผักผลไม้ ใช้กำจัดกลิ่นในห้องน้ำหรืออ่างล้างจานและตามท่อระบายน้ำ การกำจัดผักตบชวาจะประสบผลสำเร็จได้ถ้าทุกคนช่วยกันป้องกันและมีวิธีการกำจัดที่เหมาะสม
สัมภาษณ์ สุวรรณคีรี อาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) กล่าวว่า เริ่มศึกษาวิจัยอย่างจริงจังเกี่ยวกับผักตบชวาหลังได้รับโจทย์ เพราะมองเห็นโอกาสของผักตบชวาว่าถ้าภาครัฐสนับสนุนอย่างจริงจังในอนาคตน่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกได้ไม่แพ้พืชอาหารอย่างข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา หรืออ้อยแน่นอน

ศักยภาพของผักตบชวาเป็นที่รู้กันทั่วเรื่องการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าพืชชนิดนี้มีการเพิ่มจำนวนจาก 1 เป็น 1,000 ต้น ได้ภายใน 1 เดือนในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่ต้องการการดูแลอะไรเลย และหากนำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมสิ่งทออย่างไรก็ไม่มีวันขาดแคลนวัตถุดิบแน่ๆ
นักวิจัย กล่าวต่ออีกว่า โจทย์ที่ชาวบ้านต้องการคือ เทคนิคการแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่มที่ดีกว่าที่ผ่านมา เพราะในอดีตการนำผักตบชวามาแปรรูปจะเห็นได้มากในเรื่องของการนำมาสานเป็นกระเป๋า ภาชนะ และดอกไม้ประดับด้วยมือ แต่ยังไม่เคยมีเทคโนโลยีที่ช่วยจักรสาน หรือนำมาทอเป็นผ้าเพื่อใช้ทดแทนฝ้าย รวมทั้งนำมาทำเป็นกระดาษสาแทนปอสามาก่อน
ผู้วิจัยใช้เวลา 1 ปีในการศึกษาวิจัยผักตบชวา จนกระทั่งพัฒนาเครื่องจักรสำหรับตีเกลียวเพื่อให้ผลิตภัณฑ์จักรสานจากผักตบชวามีลวดลายที่สวยงามแปลกตาไปจากเดิม รวมถึงนำไปทอเป็นผ้าได้เสมือนฝ้ายมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการย้อมสีให้สวยงาม เทคนิคการสกัดเยื่อสำหรับนำมาทำเป็นกระดาษสาเพื่อแปรรูปเป็นดอกไม้ผักตบชวาชุบน้ำยางพาราซึ่งเดิมจะใช้กระดาษสาจากปอสาเป็นวัตถุดิบหลัก
องค์ความรู้ที่นักวิจัยมทร.พระนครพัฒนาได้ถูกถ่ายทอดสู่เจ้าของโจทย์ ภายใต้การสนับสนุนจากโครงการคลินิกเทคโนโลยี ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอบรมให้กับกลุ่มชาวบ้านทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งปัจจุบันมีพัฒนาการถึงขั้นก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ผักตบชวาชุมชนสำหรับสอนคนรุ่นหลังให้มีความรู้ใช้เป็นพื้นฐานอาชีพต่อไป
เหตุผลที่เลือกพื้นที่ จ.อ่างทอง นักวิจัย กล่าวว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างมทร.พระนคร กับผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ในด้านการถ่ายทอดงานวิจัยสู่ชุมชน ซึ่งหลังการถ่ายทอดโนฮาวน์ สู่ชุมชนสำเร็จ ทางมทร.พระนครยังมีศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจสอนในเรื่องการทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การเขียนแผนธุรกิจ การคำนวณต้นทุน การตั้งราคาขาย การวางแผนเรื่องการจำหน่าย เพื่อประโยชน์ในการเสนอขอรับทุนสนับสนุนจากสถาบันการเงินได้เองในอนาคต




2.              วัตถุประสงค์ชองการศึกษา
เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวปัญหาของตบชวาที่มีผลต่อแม่น้ำลำคลอง และนำไปเป็นแนวทางในการจัดการปัญหาของผักตบชวา
3.              สมมติฐานของการศึกษา
นำการศึกษามาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากผักตบชวา เพื่อจะได้มีการจัดกับผักตบชวามากขึ้น
4.              ขอบเขตของการศึกษา
4.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
4.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โดยเจาะจง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 40 คน
4.3 ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรอิสระ คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม จำนวน 40 คน
ตัวแปรตาม คือ ระดับคะแนนเฉลี่ยของแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียน   ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม จำนวน 40 คน
4.4 ระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

5.              นิยามศัพท์เฉพาะ
การเจริญเติบโต
การเพิ่มของขนาดระหว่างที่พืชเจริญจากต้นอ่อน (zygote) ซึ่งมิได้เพิ่มเพียงปริมาตรเท่านั้น หากยังเพิ่มในส่วนของน้ำหนัก จํานวนเซลล์ ปริมาณของ protoplasm และขบวนการอื่นๆ อันสลับซับซ้อน
ยูโรฟิเคชั่น
 ยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication) เป็นหนึ่งในผลจากภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศในน้ำอย่างมาก กล่าวคือ ปริมาณน้ำและอาณาเขตของแหล่งน้ำลดลง ส่งผลให้ความเข้มข้นของธาตุอาหารมากขึ้น เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสูงขึ้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชั่น คือ การที่แหล่งน้ำสะสมธาตุอาหารที่กระตุ้นให้พืชบางประเภท เช่น สาหร่ายและวัชพืชในน้ำเจริญมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อพืชเหล่านี้ได้รับธาตุอาหารดังกล่าวก็ทำให้มีพืชปกคลุมทั่วบริเวณหน้าน้ำ ทำให้น้ำเน่าเสีย ออกซิเจนในน้ำมีน้อย
หอยไบธีเนีย
เป็นพาหะนำโรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นที่อาศัยของลูกน้ำของยุงนำโรคเท้าช้าง ลูกน้ำของยุงชนิดนี้สามารถปากเจาะไชรากผักตบชวาเพื่อใช้เป็นที่หายใจ นอกจากนั้น น้ำที่ค้างตามซอกใบก็เป็นที่อาศัยวางไข่ของยุงอื่นๆ
สารเคมีกำจัดวัชพืช
เป็นสารกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ฆ่าพืชที่ไม่ต้องการ ยากำจัดวัชพืชใช้ในการจัดการพื้นที่รกร้างหรือควบคุมวัชพืชในการเกษตร
6.              ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
สามารถแก้ปัญหาของผักตบชวาได้ถูกวิธี และเก็บข้อมูลไว้ศึกษาต่อไป


บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3  โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ได้ศึกษาจากเอกสาร และงานวิจัยต่าง ดังนี้

1.การเจริญเติบโตของผักตบชวา
ผักตบชวาเป็นพืชที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นพืชที่มีทุ่นลอยสารมารถอยู่ได้ทั้งในน้ำนิ่งและน้ำไหล ผักตบชวามีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วทั้งทางเมล็ดและการแตกหน่อ ดังนั้นจึงทำให้ผักตบชวามีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงก่อให้เกิดปัญหาต่อแห่ลงน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศ และก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผักตบชวา มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก มีการสะสมมวลชีวภาพได้สูงถึง 20 กรัม น้ำหนักแห้งต่อตารางเมตรต่อวัน โดยมีอัตราการเจริญเติบโตสัมพันธุ์สูงสุดเท่ากับ 1.5% ต่อวัน ถ้าปล่อยให้ผักตบชวาเติบโตในแหล่งน้ำโดยเริ่มต้นจาก 500กรัมน้ำหนักสดต่อตารางเมตร ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง ผักตบชวาสามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ให้มวลชีวภาพสูงถึง40,580 กรัมน้ำหนักสดต่อตารางเมตร ในระยะเวลา 1 ปี ผักตบชวาจะเจริญเติบโตสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนเมษายนและมีการเจริญเติบโตต่ำสุดในช่วงเดือนมกราคมผักตบชวา 1 ต้น สามารถให้เมล็ดได้ถึง 5,000เมล็ด เมล็ดผักตบชวาเมื่ออยู่ในแหล่งน้ำจะมีชีวิตได้นานถึง 15 ปี ผักตบชวาสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการแตกหน่อ ผักตบชวา 2 ต้น สามารถแตกใบและเจริญเติบโตเป็นต้นได้ถึง 30 ต้น ภายในเวลา 20 วัน หรือเพิ่มน้ำหนักขึ้น 1 เท่าตัว ภายใน 10 วัน สามารถขยายตัวครอบคลุมผิวน้ำได้อัตราร้อยละ 8 ต่อวัน ถ้าเริ่มปล่อยผักตบชวาในแหล่งน้ำเพียง 10 ต้นจะสามารถแพร่กระจายเพิ่มปริมาณเป็น 1 ล้านต้น ภายในระยะเวลา 1 ปี
2.สาเหตุของการระบาดของผักตบชวา
ในประเทศไทยจากกลุ่มคน แต่ละกลุ่มโดย กลุ่มองค์กรที่มีหน้าที่ในการกําจัดผักตบชวา คนงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในโครงการ หากไม่มีความเข้าใจวิธีการกำจัดผักตบชวาที่ถูกต้อง ถายเทผักตบชวาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และเมื่อกําจัดตามระบบงบประมาณที่ได้รับไปแล้วแต่ไม่สามารถกำหนดมาตรการในการจำกัดการแพร่กระจายได้ ทุกปีก็ต้องจัดสรรงบประมาณมากำจัด
กลุ่มผู้เลี้ยงหมู นอกจากจะเป็นผู้แพร่พันธุ์ผักตบชวาไปทุกหนทุกแห่งแล้ว สวนใหญ่ยังเป็นนักอนุรักษ์ผักตบชวาตัวฉกาจ ซํ้าร้ายบางคนถึงกับลงมือนำผักตบชวาไปปลูกในที่ตางๆ เพื่อที่ตนจะได้ไปเก็บมาเลี้ยงหมูได้ทันที จากเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้ผักตบชวามีโอกาสแพร่ไป เกือบทั่วประเทศ และยิ่งถ้าเป็นพื้นที่เป็นต้นนํ้าลำธารด้วยแล้ว การแพร่กระจายก็ยิ่งเกิดได้มากขึ้น เพราะธรรมชาติจะช่วยพาไปด้วย
กลุ่มนักพัฒนาแหล่งนํ้า ในระยะหลังนี้ ประเทศไทยได้มีการเร่งพัฒนาไปทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะแหล่งนํ้าเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงาน ได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางทั่วทุกภาค ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดอ่างเก็บนํ้าและทะเลสาบต่าง ๆ มากมาย แหล่งนํ้าเหล่านี้ที่เกิดจากการนำเครื่องจักร เข้ามาทำการก่อสร้างมีการขนย้ายดินขุดและดินถม ได้ชวยให้ผักตบชวามีสถานที่ ที่จะเพาะและขยายพันธุ์ตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผักตบชวาจำนวนมาก ๆ นี้ ได้กอให้เกิดปัญหาแก่แหล่งนํ้านั้น ๆ เป็นอเนกประการ และยิ่งกว่านั้น เมื่อหลุดออกจากแหล่งนํ้าดังกล่าวนี้ได้ ก็จะไปก่อให้เกิดปัญหาในที่ตาง ๆ อย่างกว้างขวางต่อไปผักตบชวาลงไปสู่แม่นํ้าลำคลองก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และถูกนํ้าพัดไปยังพื้นที่ตางๆ ทางตอนปลายนํ้า
3.ผักตบชวาทำให้น้ำเน่าเสีย
การที่มีผักตบชวาเต็มผืนน้ำ เรียกว่าปรากฏการณ์บูมอย่างรวดเร็วของพืชน้ำ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ยูโรฟิเคชั่น มีสาเหตุมาจากการที่แหล่งน้ำอุดมไปด้วย ธาตุอาหารของพืชน้ำเป็นจำนวนมาก ทั้งสารไนเตส ฟอสเฟสที่มากับสารเคมีที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ผงซักฟอก ปุ๋ย เมื่อธาตุอาหารเยอะก็เกิดการบูมของผักตบชวาได้เป็นอย่างดี จึงเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าสภาพแหล่งน้ำนั้นเกิดการเน่าเสีย
ดร.เจริญวิชญ์  อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ยังให้ข้อมูลถึงการเจริญเติบโตของผักตบชวาว่า ผักตบชวาจะเจริญเติบโตได้ดีในหนองบึงหรือบริเวณที่น้ำนิ่ง เพราะเมื่อในแหล่งน้ำนั้นมีผักตบชวาหนาแน่น ก็จะไปบดบังทางเดินของแสงแดด ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา หรือพืชน้ำชนิดอื่นๆ ตายลง จากนั้นจึงเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหาร เกิดการย่อยสลายสารอาหารของจุลินทรีย์ซึ่งจะต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายและ เมื่อจุลินทรีย์ทำการย่อยสลายมาก ออกซิเจนในน้ำลดลงมากตามไปด้วย กลายเป็นสองแรงในการทำให้น้ำเน่าเสียเพิ่มขึ้นอีกบริเวณที่มีผักตบชาอยู่เยอะและไม่สามารถไหลไปไหนได้ก็จะทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และมีเชื้อโรคและยังเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำซึ่งบางชนิดเป็นพาหะนำโรค เช่น หอยชนิดหนึ่ง (หอยไบธีเนีย –Bithynia) ซึ่งเป็นพาหะนำโรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นที่อาศัยของลูกน้ำของยุงนำโรคเท้าช้าง ลูกน้ำของยุงชนิดนี้สามารถปากเจาะไชรากผักตบชวาเพื่อใช้เป็นที่หายใจ นอกจากนั้น น้ำที่ค้างตามซอกใบก็เป็นที่อาศัยวางไข่ของยุงอื่นๆ

4. การกำจัดผักตบชวาด้วยสารเคมี
การกำจัดผักตบชวาด้วยสารเคมีกำจัดวัชพืช (ซึ่งเรียกว่า ยาฆ่าหญ้า หรือ Herbicide) เป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการกำจัดแบบอื่น แต่การใช้สารเคมีช่วยกำจัดวัชพืชน้ำอย่างผักตบชวานั้น ถ้าผู้ใช้ไม่มีความรู้ในระดับพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องราวทางวิทยาการวัชพืชและนิเวศวิทยาแล้ว อาจทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสภาพแวดล้อมได้โดยง่าย ดังนั้น การอบรมให้ความรู้แก่ผู้มีหน้าที่กำจัดผักตบชวาโดยวิธีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชจึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการกำจัดผักตบชวาด้วยสารเคมีชนิดของสารเคมีกำจัดวัชพืช ที่นิยมให้เพื่อกำจัดผักตบชวา และอัตราการใช้ที่เหมาะสม มีดังต่อไปนี้
ก. ประเภทคลอโรฟีนอคซี (Chlorophenoxy) สารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทคลอโรฟีนอคซีนี้ มีคุณสมบัติพิเศษกว่าสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทอื่นตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของพืชได้ จึงทำให้สามารถออกฤทธิ์กำจัดผักตบชวาได้ดีและมีประสิทธิภาพสูง ประกอบกับผักตบชวามีลักษณะการเจริญเติบโตแบบเดียวกับพืชที่มีอายุหลายปี กล่าวคือ มีการเจริญเติบโตทางส่วนของลำต้นที่สามารถผลิตเหง่าเพื่อขยายพันธุ์ได้มากมาย ซึ่งสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติในการเคลื่อนตัวไปตามส่วนต่างๆ ของผักตบชวาได้ จะไม่สามารถออกฤทธิ์กำจัดผักตบชวานี้ได้สมบูรณ์ หรือได้ผลเป็นที่น่าพอไจเท่าสารเคมีประเภทฟีนอคซี
สารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทคลอโรฟีนอคซี เป็นสารเคมีที่มีจำหน่วยแพร่หลายที่ไปในท้องตลาด ชนิดที่สำคัญๆ มีอยู่ 3 ชนิด คือ
(1) ทู โฟ-ดี (2, 4-D : 2, 4-dichlorophenoxy acetic acid)
(2) เอมซีพีเอ (MCPA : 2-methyle-4-chlorophenoxy acetic acid)
(3) ทู โฟ โฟว์-ที (2, 4, 5-T : 2, 4, 5-trichlorophenoxy acetic acid)




5.การนำผักตบชวามาแปรรูป
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) กล่าวว่า เริ่มศึกษาวิจัยอย่างจริงจังเกี่ยวกับผักตบชวาหลังได้รับโจทย์ เพราะมองเห็นโอกาสของผักตบชวาว่าถ้าภาครัฐสนับสนุนอย่างจริงจังในอนาคตน่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกได้ไม่แพ้พืชอาหารอย่างข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา หรืออ้อยแน่นอน
ศักยภาพของผักตบชวาเป็นที่รู้กันทั่วเรื่องการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าพืชชนิดนี้มีการเพิ่มจำนวนจาก 1 เป็น 1,000 ต้น ได้ภายใน 1 เดือนในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่ต้องการการดูแลอะไรเลย และหากนำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมสิ่งทออย่างไรก็ไม่มีวันขาดแคลนวัตถุดิบแน่ๆ
นักวิจัย กล่าวต่ออีกว่า โจทย์ที่ชาวบ้านต้องการคือ เทคนิคการแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่มที่ดีกว่าที่ผ่านมา เพราะในอดีตการนำผักตบชวามาแปรรูปจะเห็นได้มากในเรื่องของการนำมาสานเป็นกระเป๋า ภาชนะ และดอกไม้ประดับด้วยมือ แต่ยังไม่เคยมีเทคโนโลยีที่ช่วยจักรสาน หรือนำมาทอเป็นผ้าเพื่อใช้ทดแทนฝ้าย รวมทั้งนำมาทำเป็นกระดาษสาแทนปอสามาก่อน
ผู้วิจัยใช้เวลา 1 ปีในการศึกษาวิจัยผักตบชวา จนกระทั่งพัฒนาเครื่องจักรสำหรับตีเกลียวเพื่อให้ผลิตภัณฑ์จักรสานจากผักตบชวามีลวดลายที่สวยงามแปลกตาไปจากเดิม รวมถึงนำไปทอเป็นผ้าได้เสมือนฝ้ายมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการย้อมสีให้สวยงาม เทคนิคการสกัดเยื่อสำหรับนำมาทำเป็นกระดาษสาเพื่อแปรรูปเป็นดอกไม้ผักตบชวาชุบน้ำยางพาราซึ่งเดิมจะใช้กระดาษสาจากปอสาเป็นวัตถุดิบหลัก
องค์ความรู้ที่นักวิจัยมทร.พระนครพัฒนาได้ถูกถ่ายทอดสู่เจ้าของโจทย์ ภายใต้การสนับสนุนจากโครงการคลินิกเทคโนโลยี ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอบรมให้กับกลุ่มชาวบ้านทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งปัจจุบันมีพัฒนาการถึงขั้นก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ผักตบชวาชุมชนสำหรับสอนคนรุ่นหลังให้มีความรู้ใช้เป็นพื้นฐานอาชีพต่อไป
เหตุผลที่เลือกพื้นที่ จ.อ่างทอง นักวิจัย กล่าวว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างมทร.พระนคร กับผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ในด้านการถ่ายทอดงานวิจัยสู่ชุมชน ซึ่งหลังการถ่ายทอดโนฮาวน์ สู่ชุมชนสำเร็จ ทางมทร.พระนครยังมีศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจสอนในเรื่องการทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การเขียนแผนธุรกิจ การคำนวณต้นทุน การตั้งราคาขาย การวางแผนเรื่องการจำหน่าย เพื่อประโยชน์ในการเสนอขอรับทุนสนับสนุนจากสถาบันการเงินได้เองในอนาคต
6.การนำผักตบชวามาทำปุ๋ยหมักและอาหารสัตว์
การทำปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวา ผักตบชวาอาจจะส่งผลกระทบในหลายด้านเช่น กีดขวางการจราจรทางน้ำ ทำให้น้ำระเหยเพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่ที่ไม่มีผักตบชวาปกคลุม บดบังแสงแดดที่จะส่องลงสู่พื้นน้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของศัตรูพืชและการตายทับถมของผักตบชวาทำให้เกิดการตื้นเขินของแม่น้ำ ลำคลอง เป็นต้น แต่ถ้าเรานำผักตบชวามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วผักตบชวาก็มีประโยชน์หลายอย่างเช่น ใช้เป็นอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรม การทำปุ๋ยอินทรีย์ และการทำก๊าซชีวภาพ เป็นต้น ผักตบชวามีปริมาณน้ำเป็นส่วนประกอบสูง โดยส่วนที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดคือ ไหล(stolons) 96.7 % เหง้า  95.1 % ทุ่นลอย 93.9 % และใบ 89.3 %3 จึงเหมาะที่จะทำปุ๋ยน้ำหมัก การนำผักตบชวามาทำปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวา เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณผักตบชวาได้หลายตันต่อปีและยังได้ปุ๋ยหมักน้ำจากผักตบชวาไว้ใช้ประโยชน์เช่น ใช้ฟื้นฟูคุณภาพน้ำใช้บำรุงดินให้มีสภาพดีขึ้น ใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชผักผลไม้ ใช้กำจัดกลิ่นในห้องน้ำหรืออ่างล้างจานและตามท่อระบายน้ำ การกำจัดผักตบชวาจะประสบผลสำเร็จได้ถ้าทุกคนช่วยกันป้องกันและมีวิธีการกำจัดที่เหมาะสม
อาหารสัตว์ โดยปกติ ปศุสัตว์หลายชนิดกินผักตบชวาอยู่แล้ว กล่าวคือ วัว ควาย แพะ แกะ หินผักตบชวาที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งตามธรรมชาติ ปลาบางชนิดกินผักตบชวาในน้ำ หมูกินผักตบชวาที่ผู้เลี้ยงเก็บมาต้มให้กิน สัตว์เหล่านี้ จะช่วยกำจัดผักตบชวาให้ลดน้อยลงได้ และเรายังได้ประโยชน์จากสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ไม่ควรปลูกเลี้ยงผักตบชวาในที่สาธารณะ เพราะเป็นการช่วยส่งเสริมการแพร่กระจายของผักตบชวาไปในที่ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายตาม พรบ. สำหรับกำจัดผักตบชวาอีกด้วย ในปัจจุบัน ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา มีการนำผักตบชวาไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์โดยการบดเอาน้ำออก อบให้แห้ง แล้วอัดเป็นเม็ดแบบเดียวกับมันสำปะหลังเม็ด ผักตบชวาแห้งมีโปรตีน 11.15% ซึ่งนำว่าสูงพอสมควร อีกด้วยเนื่องจากผักตบชวาเป็นวัชพืชน้ำที่มีธาตุโปแทสเซียมเป็นจำนวนมากและธาตุไนโตเจนและฟอสฟอรัสพอสมควร เมื่อเรานำผักตบชวามาทำเป็นปุ๋ยก็จะช่วยลดปัญหาที่ว่าผักตบชวานั้นมีปริมาณมาก อีกทั้งธาตุที่อยู่ในผักตบชวานั้นยังเป็นธาตุที่พืชอื่นๆต้องการ
7.ผักตบชวาขว้างการไหลของน้ำ
การคมนาคมทางน้ำ  ผักตบชวาเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางการสัญจรทางน้ำในคลองบางแห่ง เช่น คลองรังสิตเขตที่ติดต่อกับแม่น้ำในและแม่น้ำนอก จังหวัดนครนายก การสัญจรทางน้ำในหน้าน้ำเป็นไปได้ยาก ไม่วาจะเป็นเรือที่มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม คลองธรรมชาติบางแห่ง เช่น คลองสามจุ่น ในเขตโครงการสามชุก จังหวัดอุทัยธานี มีผักตบชวาขึ้นหนาแน่นปะปนกับต้นลำเจียก ปิดกั้นการสัญจรทางน้ำโดยเด็ดขาด แม้แต่ในแม่น้ำใหญ่ๆ บางสาย เช่น แม่น้ำสะแกรัง จังหวัดอุทัยธานี ในบางฤดูก็มีผักตบชวาอยู่อย่างหนาแน่น
การท่องเที่ยว ในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มนุษย์มักจะเลือกทำเลใกล้แหล่งน้ำเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเต็มที่ ในปัจจุบันผู้ที่ไม่มีโอกาสได้พำนักอยู่ในที่ใกล้ๆ น้ำ ก็มักจะนิยมไปท่องเที่ยวในแหล่งที่มีน้ำ สถานที่ที่มีแหล่งน้ำใหญ่ เช่น บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา ทะเลสาบสงขลาและอ่างเก็บน้ำต่างๆ เป็นสถานที่ที่มีประชาชนมักจะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าสถานที่เหล่านนี้มีผักตบชวาขึ้นอยู่หนาแน่นแล้ว การที่จะพัฒนาให้สถานที่นั้นๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นไปได้ยาก เพราะผักตบชวามีส่วนทำลายความสวยงามของแหล่งน้ำนั้นๆ นอกเหนือไปจากการรบกวนกิจกรรมอื่นๆ ในขณะพักผ่อนหย่อนใจแหล่งน้ำนั้นๆ เช่น การลงเรือท่องเที่ยว การว่ายน้ำ ตกปลา ฯลฯ
8.การสาธารณสุข ผักตบชวามีส่วนก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุข
- เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำซึ่งบางชนิดเป็นพาหะนำโรค เช่น หอยชนิดหนึ่ง (หอยไบธีเนีย –Bithynia) ซึ่งเป็นพาหะนำโรคพยาธิใบไม้ในตับ
- เป็นที่อาศัยของลูกน้ำของยุงนำโรคเท้าช้าง ลูกน้ำของยุงชนิดนี้สามารถปากเจาะไชรากผักตบชวาเพื่อใช้เป็นที่หายใจ นอกจากนั้น น้ำที่ค้างตามซอกใบก็เป็นที่อาศัยวางไข่ของยุงอื่นๆ
- เมื่อขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ผักตบชวาเป็นตัวการทำให้การกำจัดหอย (ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการนำโรค) โดยการใช้ยากำจัดเป็นไปได้โดยยากและสิ้นเปลืองมาก เนื่องจากผักตบชวาจะดูดยาไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือมีน้อยจนไม่สามารถจะทำอันตรายกับหอยได้ นอกจากนั้น ผักตบชวายังเป็นตัวกันไม่ให้ยาถูกพ่นลงในน้ำได้สะดวก ดังนั้น การใช้ยาในการกำจัดหอยจึงต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่คนและสัตว์อื่นๆ
- เป็นที่อาศัยสัตว์ร้าย เช่น งูพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อราษฎร เมื่อแพผักตบชวาลอยไปติดเรือนแพ หรือท่าน้ำ หรือในการพัฒนาแหล่งน้ำโดยการใช้แรกงานดึงขึ้นจากน้ำ นอกจากนั้น หนูที่อาศัยอยู่บนแพผักตบชวา ก็อาจแพร่เชื้อโรคกาฬโรคได

9.การประมง ปัญหาของผักตบชวาที่มีต่อการประมง คือ
- ผักตบชวาที่ขึ้นหนาแน่นเป็นอุปสรรคแก่การเจริญเติบโตของปลาและการจับปลาผักตบชวาไม่เพียงแต่ลดผลผลิตของปลาเท่านั้น แต่ปลาที่จับได้ยังมีขนาดเล็กลงด้วย
- ปริมาณผักตบชวาที่ลอยอยู่อย่างหนาแน่นบนผิวน้ำ จะทำให้แสงสว่างในน้ำลดลง เป็นผลให้พืชอาหารปลาขนาดเล็ก (ไฟโตแพลงตอน –Phytoplankton) มีปริมาณน้อยลง ไฟโตแพลงตอนนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนในน้ำ ซึ่งจำเป็นแก่การหายใจของปลาและสัตว์น้ำทุกชนิด
- ทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินจึงไปลดที่อยู่อาศัยของปลา
- พื้นน้ำที่มีผักตบชวาขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและน้ำไม่มีการไหล จะมีปลาหรือสัตว์น้ำอาศัยอยู่น้อยกว่าปกติ
10. การชลประทาน
จุดมุ่งหมายสำคัญของงานชลประทานในประเทศไทย คือ การพัฒนาแหล่งน้ำโดยการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ประโยชน์หลายๆ อย่าง โดยวิธีการต่างๆ กัน
ผักตบชวาทำให้การพัฒนาแหล่งน้ำไม่ได้ผลเต็มตามเป้าหมายเนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- ลดการไหลของน้ำลงประมาณ 40%
- ส่วนต่างๆ ของผักตบชวาที่จมลงใต้น้ำก่อให้เกิดอุปสรรคกับการระบายน้ำของฝาย ประตูระบาย และอื่นๆ ทำให้ทางเดินของน้ำเกิดการตื้นเขินเร็วกว่าปกติ และทำให้เกิดน้ำท่วมในหน้าน้ำ
- การระเหยของน้ำในที่ซึ่งมีผักตบชวาจะสูงกว่าในที่ซึ่งไม่มีผักตบชวา ประมาณ 3-8 เท่า




11.โครงการบำบัดน้ำเสียโดยใช้พืช บึงมักกะสัน จ.กรุงเทพมหานครพระราชกรณียกิจและพระราชดำริด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
การบำบัดน้ำเสีย
   น้ำโสโครกหรือน้ำเสียเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามระดับการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในชุมชนเมืองและในพื้นที่อุตสาหกรรม หากมิได้มีการแก้ไขอย่างทันท่วงทีจะส่งผลที่ไม่พึงประสงค์อย่าง มากมายต่อคุณภาพชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเรื่องนี้อย่างยิ่งตลอดมา จึงได้พระราชทานพระราชดำริและทรง ดำเนินพระราชกรณียกิจตามแนวทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ไว้หลายประการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
     บึงมักกะสันมีขนาดใหญ่มาก อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งระบายน้ำและรองรับน้ำเสีย รวมทั้งน้ำมันเครื่องจาก โรงงานรถไฟมักกะสัน ชีวปฏิกูลและขยะมูลฝอยจากชุมชนแออัด ซึ่งอยู่โดยรอบ เป็นเวลานานหลายปีอีกด้วย จนเกิดปัญหาภาวะ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและน้ำเน่าเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงภัยแห่งภาวะมลพิษดังกล่าวที่พสกนิกรจะได้รับ โดยตรงมากขึ้นตามกาลเวลา จึงได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ "เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ" เมื่อวันที่ 15 และ 20 เมษายน พ.ศ. 2528 เพื่อบำบัดน้ำเสียในบึงมักกะสัน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า "….บึงมักกะสันนี้ทำโครงการที่เรียกว่าแบบคนจน โดยใช้หลักว่า ผักตบชวาที่มีอยู่ทั่วไปนั้น เป็นพืชดูดความโสโครกออกมา แล้วก็ทำให้สะอาดขึ้นได้ เป็นเครื่องกรองธรรมชาติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และธรรมชาติของการเติบโตของพืช…." นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระราชาธิบายเกี่ยวกับผักตบชวาเป็นการเฉพาะว่า "….แนะนำ ว่าผักตบชวานี้ใช้ได้หลายทาง ใช้มาหมักเป็นปุ๋ยได้ข้อหนึ่ง ถ้าจะทำเป็นก๊าซชีวภาพก็ได้ข้อหนึ่ง ถ้าจะนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ก็ได้ แม้ต่อไปจะใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ก็ได้ เพราะว่าค่าโปรตีนในผักตบชวามีสูงพอสมควร จะใช้มาทำประกอบกับแกลบมาอัด เป็นฟืนหรือที่เรียกว่า ถ่าน แทน ถ่านที่เขาใช้เผากันทำให้ป่าไม้เสียหาย ซึ่งก็ได้ทดลองแล้วได้ผลดี…."
     ระบบบำบัดน้ำเสีย "บึงมักกะสัน" เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบธรรมชาติที่เรียกว่า ระบบ Oxidation Pond หรือ "ระบบ สายลมแสงแดด" ซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อดิน ลึก 0.5 - 2 เมตร และแสงสว่างสามารถส่องลงไปในน้ำภายในบ่อได้ มีการปลูกผักตบชวา ในบ่อเพื่อดูดซับสารอาหารและโลหะหนักจากน้ำในบ่อ เป็นการทำงานร่วมกันของพืชน้ำ (สาหร่าย) กับแบคทีเรีย ในช่วงกลางวัน สาหร่ายจะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำและแสงแดดดำเนินกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) เพื่อผลิต คาร์โบไฮเดรตสำหรับการเติบโตและการขยายพันธุ์ของตนเอง พร้อมกับปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนสำหรับให้แบคทีเรียใช้ในการ ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปรียบเทียบว่า "บึงมักกะสัน" เป็นเสมือนหนึ่ง "ไตธรรมชาติ" ของ กรุงเทพมหานคร ดังความตอนหนึ่งของพระราชดำรัสว่า "….ในกรุงเทพฯ ต้องมีพื้นที่หายใจ แต่ที่นี่เราถือว่าเป็นไตกำจัดสิ่งสกปรก และโรค สวนสาธารณะถือว่าเป็นปอด แต่นี่เหมือนไตฟอกเลือด ถ้าไตทำงานไม่ดีเราตาย อยากให้เข้าใจหลักของความคิดอันนี้…."
     ระบบบำบัดน้ำเสีย "บึงพระราม 9" เป็นอีกระบบหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริ เป็นระบบ ที่ใช้กระบวนการทางชีววิทยาผสมผสานกับเครื่องกลเติมอากาศแบบ "สระเติมอากาศชีวภาพบำบัด" เป็นหลัก โดยโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำริว่า "การใช้วิธีทางธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการบำบัดน้ำเสียให้ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้เครื่อง เติมอากาศลงไปในน้ำ โดยทำเป็นระบบสระเติมอากาศ (aerated lagoon)" เป็นการให้แบคทีเรียเป็นตัวกำจัดสารอินทรีย์ในน้ำทิ้ง ด้วยปฏิกิริยาแบบใช้ออกซิเจนในสระอากาศ (aerated lagoon) เป็นเวลา 16 ชั่วโมง จึงจำเป็นต้องมีก๊าซออกซิเจนในน้ำอย่าง พอเพียงตลอดขั้นตอนนี้ แล้วให้น้ำไหลออกจากสระดังกล่าวไปสู่บ่อกึ่งไร้อากาศ (facultative pond) เพื่อการตกตะกอนและการ ขจัดสารอินทรีย์คงเหลือ โดยให้เวลาแก่กระบวนการดังกล่าว 2-4 ชั่วโมง ต่อจากนั้นจึงปล่อยน้ำใส ซึ่งเป็นน้ำเสียที่บำบัดแล้ว จากบ่อกึ่งไร้อากาศกลับคืนสู่คลองลาดพร้าว ซึ่งเป็นคลองส่งน้ำเสียลงสู่บึงมักกะสันแต่แรก
     "ระบบผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับการเติมอากาศ" เป็นระบบบำบัดน้ำเสียอีกระบบหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานพระราชดำริเป็นประเดิม กรณีระบบหนองสนม ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
   1) การบำบัดน้ำเสียด้วยกกอียิปต์ โดยการ ปล่อยน้ำเสียเข้าไปบนลานก้อนกรวดเสียก่อน เพื่อให้ก้อนกรวดทำหน้าที่กรองสารแขวนลอยออกจากน้ำเสีย พร้อมกับช่วยเติมก๊าซ ออกซิเจน ซึ่งจะช่วยให้เกิดจุลินทรีย์เกาะตามก้อนกรวดมากขึ้น อันจะนำไปสู่การย่อยสลายสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำเสียได้มากขึ้น แล้วจึงปล่อยน้ำเสียผ่านตะแกรงดักเศษขยะที่ติดตั้งไว้ทางด้านท้ายของลานนั้นออกไปยังบ่อที่ปลูกกกอียิปต์ไว้เพื่อกำจัดสารอินทรีย์ ในน้ำเสียอีกต่อหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยให้ไหลเข้าสู่บ่อตกตะกอนตามธรรมชาติ


    (2) การเร่งการตกตะกอนและการลดสารพิษ โดยใช้ กังหันน้ำชัยพัฒนาเติมก๊าซออกซิเจนเข้าไปในน้ำเสียในขั้นตอนสุดท้ายของส่วนแรก เพื่อเร่งการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ละลายอยู่ใน น้ำนั้นให้กลายเป็นตะกอนจุลินทรีย์ (sludge) ที่ตกตะกอนได้รวดเร็ว แล้วปล่อยน้ำเสียที่ตกตะกอนดังกล่าวแล้วนั้นเข้าสู่บ่อผักตบชวา เพื่อให้ผักตบชวาดูดซับสารพิษต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ไว้ ต่อจากนั้น จึงส่งน้ำเสียนั้นกลับเข้าสู่บ่อตกตะกอนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้น้ำที่ ใสสะอาดยิ่งขึ้น และ
    (3) การปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้กังหันน้ำชัยพัฒนาเติมอากาศเข้าไป เป็นขั้นสุดท้าย พร้อมกับปลูก ผักตบชวากั้นเป็นคอกเรียงสลับกันเป็นแถว ๆ ไว้ เพื่อดูดซับสารพิษอีกครั้งหนึ่งและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำด้วย
  กรณีหนองหาน ได้พระราชทานพระราชดำริให้ผันน้ำเสียด้วยท่อและคูน้ำมารวมไว้ ณ จุดที่เหมาะสม เพื่อบำบัดให้มีคุณภาพ ดีขึ้นเสียก่อน แล้วจึงระบายลงสู่หนองหาน ทรงแนะนำให้ใช้ระบบบ่อผึ่ง (waste water stabilization ponds) ในขั้นตอนแรก และระบบบำบัดน้ำเสียด้วยพืชน้ำ (constructed wetland for wastewater treatment ) ในลำดับถัดไป ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 เซลล์ แต่ละเซลล์ประกอบด้วย หนองน้ำตื้น (marsh) ขนาบสองด้านของบ่อน้ำลึก (pond) ที่อยู่ตรงกลาง หนองน้ำตื้นมีความลึกของน้ำ 10-20 เซนติเมตร และใช้ปลูกพืชน้ำ ได้แก่ ธูปฤาษี กกเล็ก กกกลม กกอียิปต์ แห้วกระเทียม กกสามเหลี่ยม หญ้าปล้องละมาน แพงพวยน้ำ ตาลปัตรฤาษี เอื้องเพชรม้า พุทธรักษา บอน ขาเขียด ผักตบไทย ผักบุ้ง เพื่อลดค่าบีโอดี ลดปริมาณของแข็งแขวนลอย ที่เกิดจากสาหร่ายสีเขียว กำจัดแบคทีเรียชนิด faecal coliform เปลี่ยนรูปของธาตุไนโตรเจนให้เป็นแอมโมเนีย และลดปริมาณ ฟอสฟอรัส บ่อน้ำลึก มีความลึกของน้ำ 1 เมตร และใช้ปลูกพืชน้ำ ได้แก่ สาหร่ายหางกระรอก บัวสาย ดีปลีน้ำ ดีปลีน้ำเล็ก กระจับ เพื่อเปลี่ยนรูปของธาตุไนโตเจนให้เป็นไนเตรท เปลี่ยนไนเตรทให้เป็นก๊าซไนโตรเจน และลดปริมาณฟอสฟอรัส พืชน้ำที่ปลูก จะเติบโตอย่างสมบูรณ์ในเวลาประมาณ 6 - 12 เดือน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ระบบบำบัดน้ำเสียนี้ก็จะสามารถบำบัดน้ำเสียให้เป็น น้ำดีได้อย่างเต็มที
     กรณีตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีปัญหาด้านน้ำเสีย ขยะมูลฝอย และการรักษาสภาพป่าชายเลน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริ เพื่อแก้ไขด้วยวิธีธรรมชาติ ดังปรากฏในบางตอนของพระราชดำรัสว่า "….โครงการที่จะทำนี้ไม่ยากนัก คือว่าก็มาเอาสิ่งเป็นพิษออก พวกโลหะหนักต่าง ๆ เอาออก ซึ่งมีวิธีทำ ต่อจากนั้นก็มาฟอกใส่อากาศ บางทีก็อาจไม่ต้องใส่อากาศ แล้วก็มาเฉลี่ยใส่ในบึงหรือเอาน้ำไปใส่ในทุ่งหญ้า แล้วก็เปลี่ยนสภาพของทุ่งหญ้าเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ส่วนหนึ่งเป็นที่สำหรับปลูกพืช ปลูกต้นไม้…." และ "….แล้วก็ต้องทำการเรียกว่า การกรองน้ำทำให้น้ำนั้นไม่ให้โสโครก แล้วก็ปล่อยลงมาที่เป็นที่ทำการเพาะปลูก หรือทุ่งหญ้า หลังจากนั้น น้ำที่เหลือก็ลงทะเล โดยที่ไม่ทำให้น้ำนั้นเสีย…."
    ระบบบำบัดน้ำเสียแหลมผักเบี้ย แบ่งออกเป็นระบบบำบัดหลักและระบบบำบัดรอง น้ำเสียที่ส่งมาตามท่อจะไหลเข้าสู่บ่อ ตกตะกอน (sedimentation pond) ของระบบบำบัดหลักเป็นลำดับแรก ต่อจากนั้นจึงผ่านเข้าไปยังบ่อบำบัด (oxidation pond) ที่ 1-3 ตามลำดับ แล้วไหลล้นเข้าสู่บ่อปรับคุณภาพ (polishing pond) ในลำดับสุดท้ายของระบบบำบัดหลัก ก่อนที่จะระบายลง สู่ป่าชายเลนต่อไป ระบบบำบัดรอง ซึ่งดำเนินการพร้อมกันกับระบบบำบัดหลัก ประกอบด้วยระบบย่อย 3 ระบบ ได้แก่ ระบบบึงชีวภาพ (constructed wetland) ระบบกรองน้ำเสียด้วยหญ้า (grass filtration) และระบบกรองน้ำเสียด้วยป่าชายเลน (white and red mangrove filtration) ระบบบึงชีวภาพมีลักษณะเป็น บ่อดินตื้น ๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 25 เมตร ยาว 300 เมตร จำนวน 4 บ่อ สำหรับขังน้ำเสียและปลูกพืชที่มีรากพุ่ม เช่น กกพันธุ์ต่าง ๆ และอ้อ เป็นต้น เพื่อดูดซับสารพิษและสารอินทรีย์ออกจากน้ำเสียในขณะที่ น้ำนั้นไหลล้นผ่านพืชไปยังท้ายบึงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้น จุลินทรีย์ก็จะย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียไปด้วย น้ำที่ไหลล้นออกไป จากบึงจึงเป็นน้ำดีที่ใช้ประโยชน์ได้ ระบบกรองน้ำเสียด้วยหญ้าประกอบด้วยแปลงหญ้าที่มีขนาดและลักษณะเหมือนกันกับบึงชีวภาพ จำนวน 4 แปลง เพื่อทำหน้าที่กรองน้ำเสียที่ไหลล้นเข้าไปเป็นระยะ ๆ (bat flow) หญ้าที่ปลูกได้แก่ หญ้าเนเปีย หญ้าแฝก หญ้านวลน้อย และหญ้าขนแกะ ระบบกรองน้ำเสียด้วยป่าชายเลนประกอบด้วย ป่าชายเลนประเภทโกงกางคละเคล้าและผสมผสาน กันกับแสมขาวในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่กรองน้ำเสียที่ไหลล้นเข้าไป น้ำที่ไหลล้นผ่านป่าชายเลนออกไปจึงได้รับ การบำบัดจนกลายเป็นน้ำดีที่ใช้ประโยชน์ได้


บทที่ 3
วิธีดำเนินการศึกษา
ในการศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3  โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ผู้ศึกษาได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1.             ประชากรที่ใช้ในศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง
2.             เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
3.             การสร้างเครื่องที่ใช้ในการศึกษา
4.             การเก็บข้อมูลการศึกษา
5.             การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1.ประชากรที่ใช้ในศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
1.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 40 คน
2.เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3
โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม จำนวน 20 ข้อ



3.การสร้างเครื่องที่ใช้ในการศึกษา
                ศึกษาการสร้างแบบสอบถามจากเอกสารต่างๆสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 20 ข้อ โดยให้เขียนเครื่องหมาย  ถูก ในช่องระดับความคิดเห็น ฃ
4.การเก็บรวบรวมข้อมูล
นำแบบสอบถามเพื่อศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 40 คน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 และทำการบันทึกคะแนนดำเนินการหาค่าร้อยละของแต่ละข้อ
5.การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1วิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ผลจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบสอบถามเพื่อศึกษาปัญหาจากผักตบชวา
5.2สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การหาค่าร้อยละ



บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการศึกษาปัญหาจากผักตบชวาจากนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคมเพื่อนำผลการสำรวจมาเป็นข้อมูลและนำไปแก้ไขปัญหาที่เกิดจากผักตบชวา โดยใช้แบบสอบถามเพื่อศึกษาปัญหาดังกล่าวจำนวน 20 ข้อ โดยกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3  ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม จำนวน 40 คน โดยสามารถวิเคราะห์ผล ได้ดังนี้

ตารางแบบสอบถามเรื่อง ปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3


ปัญหาของผักตบชวา
ลำดับที่
ร้อยละ
1.ผักตบชวาเป็น มหัตภัยสีเขียว ของลำคลอง
6
62.5
2.ส่วนหนึ่งที่ปลาในลำคลองตายมาจากผักตบชวา
11
42.5
3.ผักตบชวาทำให้วิวตามลำคลองไม่สวยงาม
4
72.5
4.ผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความไม่สะดวก
3
77.5
5.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถบำบัดนำเสียได้
12
40
6.ปัจจุบันคุณคิดว่ามีการจัดการกับผักตบชวาหรือไม่
10
47.5
7.ถ้าเรากำจัดผับตบชวาโดยสารเคมี คุณคิดว่าผักตบชวาจะหมดจากลำคลองจริงหรือไม่
13
22.5
8.คุณเคยทราบข่าวที่พบศพใต้กอผักตบชวา เนื่องจากผักตบชวามีจำนวนมาเกินไป
10
47.5
9.คุณทราบข่าวที่ผักตบชวามีจำนวนและขนาดกว้างมากจนคนสามารถลงไปเตะฟุตบอลได้
9
52.5
10.ผักตบชวาเป็นแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์อันตราย เช่น งู
5
67.5
11.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว
1
88
12.ถ้าเรานำไปเป็นปุ๋ยหมักจะสามารถช่วยลดปริมาณได้จริงหรือไม่
4
72.5
13.ในช่วงที่น้ำท่วมผักตบชวาทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านลำคลองไปได้
5
67.5
14.ผักตบชวาทำให้น้ำในลำคลองเน่าเสีย
8
55
15.บริเวณที่มีผักตบชวาอยู่เยอะทำให้มีการสะสมเชื้อโรค
5
67.5
16.เราสามารถใช้ประโยชน์จากผักชวาได้
7
57.5

17.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถเอาเส้นใยมาทำผ้าได้
7
57.5
18.ถ้าเรากำจัดผักตบชวาโดยวิธีชีวภาพจะทำให้ผักตบชวาหมดไปได้
8
55
19.ผักตบชวาจะมีโอกาสเกิดเต็มทุกพื้นที่ในลำคลอง
2
85
20.คุณได้รับผลกระทบโดยตรงจากผักตบชวา
12
40

 จากตารางตารางแบบสอบถามเรื่อง ปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ลำดับที่ 1 คือ ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว คิดเป็นร้อยละ 88  ลำดับที่ 2 คือ ผักตบชวาจะมีโอกาสเกิดเต็มทุกพื้นที่ในลำคลอง คิดเป็นร้อยละ 85 ลำดับที่ 3 คือ ผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความไม่สะดวก คิดเป็นร้อยละ 77.5 เป็นต้น โดยคิดจากนักเรียนจำนวน 40 คน

สรุปผลการสำรวจ
1.ผักตบชวาเป็นมหัตภัยสีเขียวของลำคลอง
จากการสำรวจผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ  62.5 ให้ความเห็นว่า ผักตบชวานั้นเป็นมหัตภัยของแม่น้ำ  ลำคลอง  เนื่องจากทำให้การสัญจรของเรือนั้นลำบาก  และสัตว์มีพิษอาศัยอยู่ ซึ่งถ้ามีคนไปเล่นน้ำในบริเวณใกล้ที่ๆมีผักตบชวาอยู่หนาแน่น  อาจโดนสัตว์มีพิษทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้  ผักตบชวามีส่วนก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
- เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำซึ่งบางชนิดเป็นพาหะนำโรค เช่น หอยชนิดหนึ่ง (หอยไบธีเนีย –Bithynia) ซึ่งเป็นพาหะนำโรคพยาธิใบไม้ในตับ
- เป็นที่อาศัยของลูกน้ำของยุงนำโรคเท้าช้าง ลูกน้ำของยุงชนิดนี้สามารถปากเจาะไชรากผักตบชวาเพื่อใช้เป็นที่หายใจ นอกจากนั้น น้ำที่ค้างตามซอกใบก็เป็นที่อาศัยวางไข่ของยุงอื่นๆ
- เมื่อขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ผักตบชวาเป็นตัวการทำให้การกำจัดหอย (ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการนำโรค) โดยการใช้ยากำจัดเป็นไปได้โดยยากและสิ้นเปลืองมาก เนื่องจากผักตบชวาจะดูดยาไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือมีน้อยจนไม่สามารถจะทำอันตรายกับหอยได้ นอกจากนั้น ผักตบชวายังเป็นตัวกันไม่ให้ยาถูกพ่นลงในน้ำได้สะดวก ดังนั้น การใช้ยาในการกำจัดหอยจึงต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่คนและสัตว์อื่นๆ
- เป็นที่อาศัยสัตว์ร้าย เช่น งูพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อราษฎร เมื่อแพผักตบชวาลอยไปติดเรือนแพ หรือท่าน้ำ หรือในการพัฒนาแหล่งน้ำโดยการใช้แรกงานดึงขึ้นจากน้ำ นอกจากนั้น หนูที่อาศัยอยู่บนแพผักตบชวา ก็อาจแพร่เชื้อโรคกาฬโรคได้





2.ส่วนหนึ่งที่ปลาในลำคลองตาย มาจากผักตบชวา
การที่ปลาในลำคลองตาย  สาเหตุมาจากผักตบชวา  เพราะในลำคลองนั้นมีผักตบชวามากเกินไป  และผักตบชวานั้นมีจำนวนหนาแน่นเกินไป  จึงทำให้ปลาตาย โดยคนส่วนใหญ่ร้อยละ 42.5 นั้นเชื่อว่าส่วนหนึ่งทีปลาในลำคลองตายมาจากผักตบชวา
การประมง ปัญหาของผักตบชวาที่มีต่อการประมง คือ
- ผักตบชวาที่ขึ้นหนาแน่นเป็นอุปสรรคแก่การเจริญเติบโตของปลาและการจับปลาผักตบชวาไม่เพียงแต่ลดผลผลิตของปลาเท่านั้น แต่ปลาที่จับได้ยังมีขนาดเล็กลงด้วย
- ปริมาณผักตบชวาที่ลอยอยู่อย่างหนาแน่นบนผิวน้ำ จะทำให้แสงสว่างในน้ำลดลง เป็นผลให้พืชอาหารปลาขนาดเล็ก (ไฟโตแพลงตอน –Phytoplankton) มีปริมาณน้อยลง ไฟโตแพลงตอนนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนในน้ำ ซึ่งจำเป็นแก่การหายใจของปลาและสัตว์น้ำทุกชนิด
- ทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินจึงไปลดที่อยู่อาศัยของปลา
- พื้นน้ำที่มีผักตบชวาขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและน้ำไม่มีการไหล จะมีปลาหรือสัตว์น้ำอาศัยอยู่น้อยกว่าปกติ
3.ผักตบชวาทำให้ทัศนียภาพบริเวณลำคลองไม่สวยงาม
ผักตบชวาเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้แม่น้ำ ลำคลอง ขาดความสวยงาม  ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นปัญหาเล็กๆ  แต่แท้จริงแล้ว  ผักตบชวาที่ทำให้วิวตามแม่น้ำ ลำคลอง  ขาดความสวยงาม และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย  อาทิเช่น  คนต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยการไปนั่งเรือชมแม่น้ำเห็นผลตบชวาลอยมาเกลื่อนกลาด ก็ทำให้ไม่น่ามองหรือการถ่ายรูปบริเวณโดยรอบ  ซึ่งเป็นปัญหาคนส่วนใหญ่ร้อยละ 72.5 ให้ความเห็นว่า ผักตบชวาทำให้วิวตามลำคลองไม่สวยงาม




4.ผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความมาสะดวก
นักเรียนร้อยละ 77.5 ให้ความเห็นว่าผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความไม่สะดวก  เนื่องจากผักตบชวาจะทำให้เครื่องเรือขัดข้อง หรือหนาจนไม่สามารถขับเคลื่อนผ่านไปได้
การคมนาคมทางน้ำ
ผักตบชวาเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางการสัญจรทางน้ำในคลองบางแห่ง เช่น คลองรังสิตเขตที่ติดต่อกับแม่น้ำในและแม่น้ำนอก จังหวัดนครนายก การสัญจรทางน้ำในหน้าน้ำเป็นไปได้ยาก ไม่วาจะเป็นเรือที่มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม คลองธรรมชาติบางแห่ง เช่น คลองสามจุ่น ในเขตโครงการสามชุก จังหวัดอุทัยธานี มีผักตบชวาขึ้นหนาแน่นปะปนกับต้นลำเจียก ปิดกั้นการสัญจรทางน้ำโดยเด็ดขาด แม้แต่ในแม่น้ำใหญ่ๆ บางสาย เช่น แม่น้ำสะแกรัง จังหวัดอุทัยธานี ในบางฤดูก็มีผักตบชวาอยู่อย่างหนาแน่น
การท่องเที่ยว ในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มนุษย์มักจะเลือกทำเลใกล้แหล่งน้ำเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเต็มที่ ในปัจจุบันผู้ที่ไม่มีโอกาสได้พำนักอยู่ในที่ใกล้ๆ น้ำ ก็มักจะนิยมไปท่องเที่ยวในแหล่งที่มีน้ำ สถานที่ที่มีแหล่งน้ำใหญ่ เช่น บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา ทะเลสาบสงขลาและอ่างเก็บน้ำต่างๆ เป็นสถานที่ที่มีประชาชนมักจะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าสถานที่เหล่านนี้มีผักตบชวาขึ้นอยู่หนาแน่นแล้ว การที่จะพัฒนาให้สถานที่นั้นๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นไปได้ยาก เพราะผักตบชวามีส่วนทำลายความสวยงามของแหล่งน้ำนั้นๆ นอกเหนือไปจากการรบกวนกิจกรรมอื่นๆ ในขณะพักผ่อนหย่อนใจแหล่งน้ำนั้นๆ เช่น การลงเรือท่องเที่ยว การว่ายน้ำ ตกปลา ฯลฯ
เศรษฐกิจและสังคม ผักตบชวามีส่วนก่อให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น เมื่อการพัฒนาแหล่งน้ำไม่ได้ผลเต็มตามเป้าหมาย การเพาะปลูกซึ่งอาศัยน้ำก็ย่อมจะได้ผลผลิตน้อยกว่าที่ควร รายได้ลดลง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้แผนพัฒนาประเทศไม่ได้ผลตามความมุ่งหมาย สำหรับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจและสังคมนั้น ในประเทศไทยยังไม่มีการคำนวณออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอน แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต กรมประมง และเทศบาลท้องถิ่นต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินปีละหลายสิบล้านบาท เฉพาะกรมชลประทานเพียงหน่วยงานเดียวซึ่งได้งบประมาณสำหรับการกำจัดวัชพืชน้ำประมาณปีละ 4 ล้านบาท ต้องใช้จ่ายงบประมาณไปในการกำจัดผักตบชวาถึง 60% หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท
     ในด้านความเดือดร้อนรำคาญที่ราษฎรได้รับอันเนื่องมาจากสาเหตุของผักตบชวา ก็ไม่สามารถจะประมาณเป็นตัวเงินได้ ดังตัวอย่างเช่นในกรณีที่ผู้อยู่อาศัยอยู่ตามเรือแพในแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ต้องประสบกับความเดือดร้อนจากปัญหาผักตบชวาเป็นประจำ โดยเฉพาะในหน้าน้ำ ทำให้การสัญจรทางน้ำเป็นไปโดยความยากลำบาก และบางครั้ง เมื่อแพผักตบชวาลอยมาปะทะกับเรือนแพ อาจทำให้เรือนแพนั้นพังเสียหายหรือถูกดันออกสู่กระแสน้ำได้ ในกรณีของโรคภัยไข้เจ็บและอันตรายจากสัตว์ร้ายอันมีสาเหตุมาจากผักตบชวาก็เช่นเดียวกันที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสาธรณสุขแก่ราษฎร์เป็นอันมาก
5.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถบำบัดน้ำเสียได้
จากผลการสำรวจพบว่าร้อยละ 40 ของนักเรียน ทราบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดน้ำเสียได้ เนื่องจากเคยศึกษามาบ้างเล็กน้อย จากอินเทอร์เน็ต  หนังสือ  เกร็ดความรู้  และบุคคลรอบตัว เช่น
 โครงการบำบัดน้ำเสียโดยใช้พืช บึงมักกะสัน จ.กรุงเทพมหานครพระราชกรณียกิจและพระราชดำริด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
การบำบัดน้ำเสีย
     น้ำโสโครกหรือน้ำเสียเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามระดับการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในชุมชนเมืองและในพื้นที่อุตสาหกรรม หากมิได้มีการแก้ไขอย่างทันท่วงทีจะส่งผลที่ไม่พึงประสงค์อย่าง มากมายต่อคุณภาพชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเรื่องนี้อย่างยิ่งตลอดมา จึงได้พระราชทานพระราชดำริและทรง ดำเนินพระราชกรณียกิจตามแนวทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ไว้หลายประการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
     บึงมักกะสันมีขนาดใหญ่มาก อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งระบายน้ำและรองรับน้ำเสีย รวมทั้งน้ำมันเครื่องจาก โรงงานรถไฟมักกะสัน ชีวปฏิกูลและขยะมูลฝอยจากชุมชนแออัด ซึ่งอยู่โดยรอบ เป็นเวลานานหลายปีอีกด้วย จนเกิดปัญหาภาวะ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและน้ำเน่าเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงภัยแห่งภาวะมลพิษดังกล่าวที่พสกนิกรจะได้รับ โดยตรงมากขึ้นตามกาลเวลา จึงได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ "เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ" เมื่อวันที่ 15 และ 20 เมษายน พ.ศ. 2528 เพื่อบำบัดน้ำเสียในบึงมักกะสัน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า "….บึงมักกะสันนี้ทำโครงการที่เรียกว่าแบบคนจน โดยใช้หลักว่า ผักตบชวาที่มีอยู่ทั่วไปนั้น เป็นพืชดูดความโสโครกออกมา แล้วก็ทำให้สะอาดขึ้นได้ เป็นเครื่องกรองธรรมชาติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และธรรมชาติของการเติบโตของพืช…." นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระราชาธิบายเกี่ยวกับผักตบชวาเป็นการเฉพาะว่า "….แนะนำ ว่าผักตบชวานี้ใช้ได้หลายทาง ใช้มาหมักเป็นปุ๋ยได้ข้อหนึ่ง ถ้าจะทำเป็นก๊าซชีวภาพก็ได้ข้อหนึ่ง ถ้าจะนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ก็ได้ แม้ต่อไปจะใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ก็ได้ เพราะว่าค่าโปรตีนในผักตบชวามีสูงพอสมควร จะใช้มาทำประกอบกับแกลบมาอัด เป็นฟืนหรือที่เรียกว่า ถ่าน แทน ถ่านที่เขาใช้เผากันทำให้ป่าไม้เสียหาย ซึ่งก็ได้ทดลองแล้วได้ผลดี…."
     ระบบบำบัดน้ำเสีย "บึงมักกะสัน" เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบธรรมชาติที่เรียกว่า ระบบ Oxidation Pond หรือ "ระบบ สายลมแสงแดด" ซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อดิน ลึก 0.5 - 2 เมตร และแสงสว่างสามารถส่องลงไปในน้ำภายในบ่อได้ มีการปลูกผักตบชวา ในบ่อเพื่อดูดซับสารอาหารและโลหะหนักจากน้ำในบ่อ เป็นการทำงานร่วมกันของพืชน้ำ (สาหร่าย) กับแบคทีเรีย ในช่วงกลางวัน สาหร่ายจะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำและแสงแดดดำเนินกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) เพื่อผลิต คาร์โบไฮเดรตสำหรับการเติบโตและการขยายพันธุ์ของตนเอง พร้อมกับปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนสำหรับให้แบคทีเรียใช้ในการ ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปรียบเทียบว่า "บึงมักกะสัน" เป็นเสมือนหนึ่ง "ไตธรรมชาติ" ของ กรุงเทพมหานคร ดังความตอนหนึ่งของพระราชดำรัสว่า "….ในกรุงเทพฯ ต้องมีพื้นที่หายใจ แต่ที่นี่เราถือว่าเป็นไตกำจัดสิ่งสกปรก และโรค สวนสาธารณะถือว่าเป็นปอด แต่นี่เหมือนไตฟอกเลือด ถ้าไตทำงานไม่ดีเราตาย อยากให้เข้าใจหลักของความคิดอันนี้…."
6.ปัจจุบันคุณคิดว่ามีการจัดการกับผักตบชวาหรือไม่
จากการผลสำรวจนักเรียนร้อยละ 47.5 ให้ความเห็นว่า  มีการจัดการกับผักตบชวาในแม่น้ำ  ลำคลอง  ซึ่งเป็นปัญหากับการสัญจรทางน้ำเป็นอย่างมาก  ดังนั้นร้อยละ 47.5 จึงให้ความเห็นตรงกัน  เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผักตบชวา
7.             ถ้าเรากำจัดผักตบชวาโดยใช้สารเคมี คุณคิดว่าผักตบชวาจะหมดจากลำคลองจริง   หรือไม่
การใช้สารเคมีกำจัดผักตบชวาให้หมดจากลำคลองนั้น ผู้คนร้อยละ 22.5 คิดว่าใช้ได้จริงแต่การใช้สารเคมีในการกำจัดนั้นเป็นวิธีที่อันตราย เนื่องมาจากถ้าเราใช้สารเคมีในการกำจัดผักตบชวาอาจจะกำจัดได้จริง แต่จะส่งผลกระทบถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ หรือ ชาวบ้านตามริมคลอง และจะทำให้แม่น้ำ  ลำคลอง มีสารพิษตกค้างอีกด้วย  ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้

8.คุณทราบข่าวที่พบศพใต้กองผักตบชวา เนื่องจากผักตบชวามีจำนวนมากเกินไป
จากผลสำรวจผู้คนร้อยละ 47.5 เคยทราบข่าวเกี่ยวกับการพบศพใต้กอผักตบชวา  โดยทราบจากหนังสือพิมพ์  อินเทอร์เน็ต  โทรทัศน์  ฯลฯ  ดังนั้น  ผู้คนร้อยละ  47.5 จึงให้ความเห็นตรงกันว่าเคยทราบข่าวที่พบศพใต้กอผักตบชวา
9.คุณทราบข่าวที่ผักตบชวามีจำนวนมากและขนาดกว้างมากจนคนสามารถลงไปเตะฟุตบอลได้
คนส่วนใหญ่ร้อยละ 52.5  ทราบข่าวที่ผักตบขวามีจำนวนมากและขนาดกว้างมากจนคนสามารถลงไปเตะฟุตบอลได้  เนื่องจากอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวจึงทำให้ประสบกับปัญหาผักตบชวาขวางการสัญจรทางน้ำ  จึงได้ให้ความเห็นตรงกันว่าผักตบชวามีจำนวนมาก  และขนาดกว้างมากจนคนสามารถลงไปเตะฟุตบอลได้
10.  ผักตบชวาเป็นแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์อันตราย เช่น งู
ผักตบชวาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์อันตราย และมีพิษ  อาทิเช่น งู เพราะว่า ถ้าผักตบชวามีจำนวนมาก  และเมื่อลงไปในน้ำที่ที่มีผักตบชวาอยู่อย่างหนาแน่น  เราไม่อาจรู้ได้ว่าในน้ำที่มีผักตบชวาจำนวนมากในนั้นมีอะไรอยู่  จากที่ได้สำรวจผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ 76.5  ให้ความเห็นว่าในน้ำที่มีผักตบชวาจำนวนมากมีสัตว์อันตราย  และมีพิษ
11.  คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว
คนส่วนใหญ่ร้อยละ 88 คิดว่าเป็นเช่นนั้น  เพราะ ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์เร็วมากในเขตร้อนชื้น  และในช่วงฤดูฝนผักตบชวาก็จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  ทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในแม่น้ำ  ลำคลอง
โดยทั่วๆ ผักตบชวาจะไม่สืบพันธุ์โดยเมล็ด นอกจากในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเช่น ในตอนที่น้ำแห้งในฤดูแล้ง ซึ่งต้นผักตบชวาแห้งตายหมด ครั้งพอถึงฤดูฝนเมล็ดที่พักตัวอยู่ในดินจะเริ่มงอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อน และในไม่ช้าก็จะเจริญเติบโตขึ้น
การสืบพันธุ์ของผักตบชวาที่พบเห็นอยู่ทั่วไปและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ การแตกไหลแล้วกลายเป็นลำต้นติดอยู่กับต้นแม่เป็นจำนวนมากจนเกิดเป็นกอใหญ่ หลังจากที่ต้นอ่อนเกิดตากและใบของตนเองได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ต้นอ่อนเหล่านี้ก็จะเริ่มสร้างต้นอ่อนต่อไปเป็นช่วงที่สาม ได้มีผู้รายงานว่า ต้นผักตบชวาเพียง 2 ต้น สามารถสร้างลูกหลานได้เป็นจำนวนถึง 300 ต้นภายในเวลาเพียง 20 วัน และเพิ่มเป็น 1200 ต้น ภายใน 4 เดือน แต่ในสภาพตามธรรมชาติ มีผู้สังเกตว่าผักตบชวาจะเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าภายใน 10 วัน ถ้าหากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ต้นผักตบชวา 10 ต้น จะสร้างลูกหลานได้ถึง 600,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่น้ำ 2.5 ไร่ ภายในเวลา 8 เดือน
  12.  ถ้าเรานำไปเป็นปุ๋ยหมักจะสามารถช่วยลดปริมาณได้จริงหรือไม่
                   ผักตบชวาก็ใช่ว่าจะสร้างปัญหาเท่านั้น  แต่ผักตบชวายังสามารถสร้างประโยชน์ได้  เช่นการนำเอาผักตบชวามาทำปุ๋ยหมัก โดยกองสลับชั้นกับดิน ปุ๋ยคอก ขยะ ฯลฯ ซึ่งจะเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ยหมัก นำไปใช้ได้ภายใน 2 เดือน ระหว่างหมัก ควรกลับกองปุ๋ยหมักทุกๆ 15 วัน โดยเอาส่วนบนลงล่างและส่วนล่างขึ้นบน กลับกองปุ๋ยหมักสัก 2 ครั้ง จากนั้นก็ปล่อยให้ค่อยๆ กลายเป็นปุ๋ยหมักซึ่งจะมีสีดำคล้ำ ปุ๋ยหมักจากผักตบชวา (ผสมดิน) มีองค์ประกอบคือ ไนโตรเจน 2.05% ฟอสฟอรัส 1.1% โปแตสเซียม 2.5% ธาตุทั้งสามอย่างน้ำเป็นอาหารธาตุที่จำเป็นแก่การเจริญเติบโตของพืชทุกชนิดในดิน ป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้น และเมื่อสลายตัว ก็กลายเป็นอินทรียวัตถุและปุ๋ยให้แก่พืชปลูก  นอกจากจะช่วยลดปริมาณของผักตบชวาในแม่น้ำ  ลำคลอง แล้วยังสามารถช่วยบำรุงดินได้อีกด้วย  ดังนั้นจากผลสำรวจร้อยละ 72.5 ได้ให้ความเห็นตรงกันว่า  ถ้าเรานำผักตบชวาไปทำปุ๋ยหมักจะสามารถช่วยลดปริมาณของผักตบชวาได้
13.  ในช่วงที่น้ำท่วมผักตบขวาทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านลำคลองได้
ผักตบชวาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดน้ำท่วม  เพราะไปสกัดกั้นการระบายน้ำ  ทำให้น้ำไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน  ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ 67.5 จึงได้คิดแบบเดียวกันว่า  ในช่วงที่น้ำท่วมผักตบขวาทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านลำคลองได้
ผักตบชวาทำให้การพัฒนาแหล่งน้ำไม่ได้ผลเต็มตามเป้าหมายเนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- ลดการไหลของน้ำลงประมาณ 40%
- ส่วนต่างๆ ของผักตบชวาที่จมลงใต้น้ำก่อให้เกิดอุปสรรคกับการระบายน้ำของฝาย ประตูระบาย และอื่นๆ ทำให้ทางเดินของน้ำเกิดการตื้นเขินเร็วกว่าปกติ และทำให้เกิดน้ำท่วมในหน้าน้ำ
- การระเหยของน้ำในที่ซึ่งมีผักตบชวาจะสูงกว่าในที่ซึ่งไม่มีผักตบชวา ประมาณ 3-8 เท่า

14.  ผักตบชวาทำให้น้ำในคลองเน่าเสีย
จากผลสำรวจพบว่าจากผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ 55  ให้ความเห็นตรงกันว่าผักตบชวาทำให้น้ำในลำคลองเน่าเสีย  เนื่องจากผักตบชวาเมื่อตายแล้วจะลอยเน่าส่งกลิ่นเหม็น  ทำให้น้ำและบรรยากาศโดยรอบเสียไปด้วย  ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารำคาญเป็นอย่างมาก  สำหรับคนที่ประสบกับปัญหาดังกล่าว การที่มีผักตบชวาเต็มผืนน้ำ เรียกว่าปรากฏการณ์บูมอย่างรวดเร็วของพืชน้ำ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ยูโรฟิเคชั่น มีสาเหตุมาจากการที่แหล่งน้ำอุดมไปด้วย ธาตุอาหารของพืชน้ำเป็นจำนวนมาก ทั้งสารไนเตส ฟอสเฟสที่มากับสารเคมีที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ผงซักฟอก ปุ๋ย เมื่อธาตุอาหารเยอะก็เกิดการบูมของผักตบชวาได้เป็นอย่างดี จึงเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าสภาพแหล่งน้ำนั้นเกิดการเน่าเสีย
ดร.เจริญวิชญ์  อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ยังให้ข้อมูลถึงการเจริญเติบโตของผักตบชวาว่า ผักตบชวาจะเจริญเติบโตได้ดีในหนองบึงหรือบริเวณที่น้ำนิ่ง เพราะเมื่อในแหล่งน้ำนั้นมีผักตบชวาหนาแน่น ก็จะไปบดบังทางเดินของแสงแดด ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา หรือพืชน้ำชนิดอื่นๆ ตายลง จากนั้นจึงเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหาร เกิดการย่อยสลายสารอาหารของจุลินทรีย์ซึ่งจะต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายและ เมื่อจุลินทรีย์ทำการย่อยสลายมาก ออกซิเจนในน้ำลดลงมากตามไปด้วย กลายเป็นสองแรงในการทำให้น้ำเน่าเสียเพิ่มขึ้นอีก
15.  บริเวณที่มีผักตบชวาอยู่เยอะทำให้มีการสะสมเชื้อโรค
เมื่อขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นผักตบชวาเป็นตัวการทำให้การกำจัดหอย ( ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการนำโรค ) โดยการใช้ยากำจัดเป็นไปได้โดยยาก เนื่องจากผักตบชวาจะดูดยาในส่วนหนึ่ง  ส่วนที่ที่เหลือมีน้อยจนไม่สามารถจะทำอันตรายได้  นอกจากผักตบชวาจะดูดเอายาที่พ่นลงไป  ดังนั้น สิ่งสกปรกต่างต่างผักตบชวาก็ได้ดูดสะสมไว้เช่นกัน  จากผลสำรวจของผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ 67.5 จึงให้ความเห็นตรงกันว่า  บริเวณที่มีผักตบชวาอยู่เยอะทำให้มีการสะสมเชื้อโรค - เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำซึ่งบางชนิดเป็นพาหะนำโรค เช่น หอยชนิดหนึ่ง (หอยไบธีเนีย –Bithynia) ซึ่งเป็นพาหะนำโรคพยาธิใบไม้ในตับ
- เป็นที่อาศัยของลูกน้ำของยุงนำโรคเท้าช้าง ลูกน้ำของยุงชนิดนี้สามารถปากเจาะไชรากผักตบชวาเพื่อใช้เป็นที่หายใจ นอกจากนั้น น้ำที่ค้างตามซอกใบก็เป็นที่อาศัยวางไข่ของยุงอื่นๆ
- เมื่อขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ผักตบชวาเป็นตัวการทำให้การกำจัดหอย (ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการนำโรค) โดยการใช้ยากำจัดเป็นไปได้โดยยากและสิ้นเปลืองมาก เนื่องจากผักตบชวาจะดูดยาไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือมีน้อยจนไม่สามารถจะทำอันตรายกับหอยได้ นอกจากนั้น ผักตบชวายังเป็นตัวกันไม่ให้ยาถูกพ่นลงในน้ำได้สะดวก ดังนั้น การใช้ยาในการกำจัดหอยจึงต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่คนและสัตว์อื่นๆ
16.  เราสามารถใช้ประโยชน์จากผักตบชวาได้
 ผักตบชวาสามารถนำไปใช้ได้จริง  เพราะ สามารถนำไปแปรรูปเป็นตระกร้า จักสาน  กรองเท้า  ผ้า  และทำให้ชาวบ้านหารายได้เสริมได้
17.  คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถเอาเส้นใยมาทำผ้าได้
ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่ขยายพันธุ์จนเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ในประเทศไทย  จนกลายเป็นปัญหาทางน้ำจนทวีคูณเป็นปัญหาระดับประเทศ  ต่อมาได้มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆได้นำเอาผักตบชวามาผลิตเป็นของใช้  อาหารสัตว์  ทำปุ๋ย ฯลฯ และนอกจากน้ำมาผลิตเป็นของใช้ได้แล้วยังสามารถนำเส้นใยของผักตบชวามาทำเป็นกระเป๋า  เสื้อผ้า กันอีกด้วย 
18.  ถ้าเรากำจัดผักตบชวาโดยวิธีชีวภาพจะทำให้ผักตบชวาหมดไปได้
จากผลการสำรวจพบว่าร้อยละ 55 ของคนส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า  ถ้ากำจัดผักตบชวาโดยวิธีชีวภาพจะทำให้ผักตบชวาหมดไปได้ เนื่องจากการกำจัดโดยวิธีชีวภาพนั้นเป็นวิธีที่ปลอดภัยจะใช้ในปริมาณมากเพื่อกำจัดผักตบชวาก็ยังไม่ส่งผลเสียต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ  ดังนั้นผู้คนร้อยละ 55 จึงให้ความเห็นตรงกัน
19.  ผักตบชวาจะมีโอกาสเกิดเต็มทุกพื้นที่ในลำคลอง
คนส่วนใหญ่ร้อยละ 85 คิดว่าผักตบชวาอาจจะมีอยู่ทั่วทั้งลำคลอง  เพราะ  ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธุ์ได้เร็ว  และเรายังไม่สามารถกำจัดผักตบชวาได้  จึงมีโอกาสเป็นไปได้ว่าผักตบชวายังคงมีการแพร่พันธุ์อยู่ในบริเวณแม่น้ำ  ลำคลองต่างๆ
20.  คุณได้รับผลกระทบโดยตรงจากผักตบชวา
ผู้คนร้อยละ 40 เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ติดลำคลองจึงมีผลกระทบ ทำให้ประสบปัญหาจากการแพร่ของผักตบชวา  แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้อาศัยอยู่ติดกับลำคลอง จึงไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะปัจจุบันคนที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านจัดสรร อยู่ใกล้เขตเมืองหรือบริเวณที่เคยเป็นคลองก็กลายเป็นถนนไปแล้ว 

บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3  โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม โดยมีรายละเอียดและผลการศึกษาดังนี้
1.             วัตถุประสงค์ของการศึกษา
2.             . สมมติฐานการศึกษา
3.             . วิธีดำเนินการ
4.             สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล
5.             อภิปรายผล
6.             ข้อเสนอแนะจากรายงานครั้งนี้
1. วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1.1 เพื่อศึกษาปัญหาของผักตบชวาที่มีอยู่มากตามแม่น้ำลำคลอง
1.2 เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการแก้ไขปัญหาผักตบชวา
2. สมมติฐานการศึกษา
นำการศึกษามาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากผักตบชวา เพื่อจะได้มีการจัดกับผักตบชวามากขึ้น
3. วิธีดำเนินการ
3.1 การกำหนดประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
               

3.2 การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียน โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 40 คน
3.3 การกำหนดเครื่องที่ใช้ในการศึกษา
แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม จำนวน 20 ข้อ
3.4 การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยให้นักเรียนทำแบบสอบถามเพื่อศึกษาปัญหาจากผักตบชวาของ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 20 ข้อ โดยให้เขียนเครื่องหมาย  ถูก ในช่องระดับความคิดเห็น
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
โดยนำสาเหตุของแต่ละข้อมาคิดค่าร้อยละ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาข้อสรุป
4.สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการศึกษาปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ลำดับที่ 1 คือ ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว คิดเป็นร้อยละ 88  ลำดับที่ 2 คือ ผักตบชวาจะมีโอกาสเกิดเต็มทุกพื้นที่ในลำคลอง คิดเป็นร้อยละ 85 ลำดับที่ 3 คือ ผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความไม่สะดวก คิดเป็นร้อยละ 77.5 เป็นต้น โดยคิดจากนักเรียนจำนวน 40 คน
5.อภิปรายผล
                จากการสร้างแบบสอบถามเพื่อการศึกษาปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้
                พบว่าแบบสอบถามเพื่อการศึกษาปัญหาจากผักตบชวา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ได้ทราบถึงสาเหตุที่สำคัญมากที่สุดไปน้อยที่สุด เนื่องจากผักตบชวาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นกอใหญ่ลอยน้ำและก่อให้เกิดปัญหาต่อแหล่งน้ำไม่ว่าจะเป็นการขว้างทางน้ำ ทำให้น้ำเน่าเสีย สัตว์ใต้ไม่สามารถขึ้นมากกินอาหารได้ จึงสอดคล้องกับ  ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ นักวิชาการเกษตร 6 กล่าวถึงการเจริญเติบโตของผักตบชวา ว่าผักตบชวาเป็นพืชที่มีอัตราการเจริญเติมโตสูงทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นพืชที่มีทุ่นลอยสารมารถอยู่ได้ทั้งในน้ำนิ่งและน้ำไหล ผักตบชวามีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วทั้งทางเมล็ดและการแตกหน่อ ดังนั้นจึงทำให้ผักตบชวามีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงก่อให้เกิดปัญหาต่อแห่ลงน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศ และก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 
6. ข้อเสนอแนะจากรายงานครั้งนี้
                ในการทำแบบสอบถามเพื่อการศึกษาปัญหาจากผักตบชวา อาจจะสำรวจในกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย เช่น ชาวบ้านริมลำคลอง บุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลที่แตกต่างกันเพื่อจะทำให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริงมากขึ้น


ภาคผนวก

แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาของผักตบชวา
เขียนเครื่องหมายถูกในช่อง
1.เพศ
[  ] ชาย                 [  ] หญิง
2.อายุ
[  ] 15-25 ปี         [  ] 26-35 ปี       [  ] 36-45 ปี         [  ] 46-55 ปี         [  ] 56 ปีขึ้นไป
3.ในระหว่างทางที่คุณไปทำงานคุณมีเส้นทางที่จะต้องโดยสารทางน้ำหรือไม่
[  ] ไม่                   [  ] ใช่
4.คุณคิดว่าผักตบชวาเป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อมในน้ำหรือไม่
[  ] คิดว่าไม่          [  ] คิดว่าใช่
ให้เขียนเครื่องหมายถูกลงในตาราง


ตารางสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบจากผักตบชวา

คำถาม

ระดับความคิดเห็น
มากที่สุด
มาก
ปานกลาง
น้อย
1.ผักตบชวาเป็นมหัตภัยสีเขียวของลำคลอง




2.ส่วนหนึ่งที่ปลาในลำคลองตายมาจากผักตบชวา




3.ผักตบชวาทำให้วิวตามลำคลองไม่สวยงาม




4.ผักตบชวาทำให้การสัญจรทางน้ำเกิดความไม่สะดวก




5.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถบำบัดนำเสียได้




6.ปัจจุบันคุณคิดว่ามีการจัดการกับผักตบชวาหรือไม่




7.ถ้าเรากำจัดผับตบชวาโดยสารเคมี คุณคิดว่าผักตบชวาจะหมดจาก
ลำคลองจริงหรือไม่




8.คุณเคยทราบข่าวที่พบศพใต้กอผักตบชวา เนื่องจากผักตบชวามีจำนวนมากเกินไป




9.คุณทราบข่าวที่ผักตบชวามีจำนวนและขนาดกว้างมากจนคนสามารถลงไปเตะฟุตบอลได้




10.ผักตบชวาเป็นแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์อันตราย เช่น งู




11.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธ์ได้อย่างรวดเร็ว




12.ถ้าเรานำผักตบชวาไปเป็นปุ๋ยหมักจะสามารถช่วยลดปริมาณได้จริงหรือไม่




13.ในช่วงที่น้ำท่วมผักตบชวาทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านลำคลองไปได้




14.ผักตบชวาทำให้น้ำในลำคลองเน่าเสีย




15.บริเวณที่มีผักตบชวาอยู่เยอะทำให้มีการสะสมเชื้อโรค




16.เราสามารถใช้ประโยชน์จากผักตบชวาได้




17.คุณทราบหรือไม่ว่าผักตบชวาสามารถเอาเส้นใยมาทำผ้าได้




18.ถ้าเรากำจัดผักตบชวาโดยวิธีชีวภาพจะทำให้ผักตบชวาหมดไปได้จริงหรือไม่




19.ผักตบชวาจะมีโอกาสเกิดเต็มทุกพื้นที่ในลำคลอง




20.คุณได้รับผลกระทบโดยตรงจากผักตบชวา





ความคิดเห็น
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 


 บรรณานุกรม

กรมทรัพยากรน้ำ. 2546. พระราชบัญญัติสําหรับกำจัดผักตบชวา . 2456. อ้างใน รวมกฎหมาย ทรัพยากรน้ำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. หจก.จิรรัชการพิมพ์. หน้า 109-112
การควบคุมคุณภาพงานเตรียมสิ่งทอเพื่อการย้อมพันธ์.ผศ.เกษม พิพัฒน์ปัญญานุกูล,2537วัชพืชในประเทศไทย.
คำแนะนำการควบคุมวัชพืช 2538.กลุ่มงานวิทยาศาสตร์การวัชพืช กองพฤกษศาสตร์และวัชพืชกรมวิชาการการเกษตร
ดวงพร สุวรรณกุล.รังสิต สุวรรณเขตนิคม.กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,หน้า437
จิรากรณ์ คชเสนี. 2551. มนุษย์กบสิ่งแวดล้อม . พิมพ์.ครั้งที่ 5. โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  หน้า 436.
ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบังคับการ กองบิน ๔๑ โครงการบำบัดน้ำเสียโดยใช้พืช บึงมักกะสัน จ.            กรุงเทพมหานคร พระราชกรณียกิจและพระราชดำริด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
วัชพืชในประเทศไทย.ผศ.ดร. สุรชัย มัฉฉาชีพ.กรุงเทพ: แพร่พิทยา,2538.หน้า67,89
วัชพืชกับการควบคุม.โดย James C.schmidn แปลโดย ศรารัตน์ สีไพบูรย์,2540
วัชพืชศาสตร์.ธศ.ดร. พรชัย เหลืองอาภามงค์.กรุงเทพ: รั้วเขียว,25401.หน้า 135-259
ศิลปาชีพ.วิชิต สุวรรณปรีชา.กรุงเทพ:อักษรจาพิพัฒน์,หน้า5,11
สายฝน ละเลิศ. 52020297. สุพัชรา แสนเรือง.52020506 (2554) สรุปผลการศึกษา. คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ ปี 2 .มหาวิทยาลัยบูรพา: บางแสน จังหวัดชลบุรี
สํานักวิจัย. พัฒนาและอุทกวิทยา. รายงานการวิจัย การบริหารจดการผักตบชวาในระบบลุ่มน้ำ ”.
หนองน้ำและแม่น้ำ. สารานุกรมชุดประธีปความรู้,หน้า33